เมื่อไม่นานมานี้ทาง Coinbase ได้มีการเปิดเผยผลสำรวจของ Fortune 500 ว่า กว่า 60% ของบริษัทในกลุ่ม Fortune 500 ได้เริ่มนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้งานจริงภายในองค์กรในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025
สำหรับ Fortune 500 คือ บริษัทที่มีรายได้สูงสุด 500 อันดับแรกในสหรัฐอเมริกา โดยมีการจัดอันดับดดยนิตยสาร Fortune ซึ่งเป็นสื่อด้านธุรกิจและเศรษฐกิจที่มีชื่อเสียงระดับโลก
จากรายงานพบว่า บริษัทเหล่านี้มีโครงการที่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชนเฉลี่ยถึง 9.7 โปรเจกต์ต่อองค์กร เพิ่มขึ้นจาก 5.8 โปรเจกต์ในปี 2023 นอกจากนี้ราว ๆ 20% ของบริษัททั้งหมดได้บรรจุบล็อกเชนไว้ในแผนกลยุทธ์หลักขององค์กรอย่างเป็นทางการแล้ว
ทั้งนี้ การใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชนของบริษัทเหล่านี้ต่างกระจายตัวกันอยู่ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน ยานยนต์ ค้าปลีก และสาธารณสุข โดยส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในระบบชำระเงิน การติดตามซัพพลายเชน และระบบยืนยันตัวตนดิจิทัลเป็นหลัก
ข้อมูลยังเผยว่า ผู้บริหารระดับสูงกว่า 38% เชื่อว่าบล็อกเชนสามารถช่วยสร้างแหล่งรายได้รูปแบบใหม่ให้กับองค์กรได้ ขณะเดียวกันผู้บริหารอีก 37% เปิดเผยว่าพวกเขากำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการบล็อกเชนอย่างจริงจังภายในองค์กร
ขณะเดียวกัน นักลงทุนสถาบันได้ตอบสนองต่อกระแสของ Bitcoin ตามหลังภาคธุรกิจด้วยเช่นกัน เห็นได้จากการเข้าลงทุนใน Bitcoin ETFs ด้วยเม็ดเงินกว่า $5 หมื่นล้าน ซึ่งมากกว่าเป็นสองเท่าของยอดเงินที่ไหลเข้าปีแรกของกองทุน ETF สินทรัพย์ดั้งเดิมที่ขายดีที่สุด ส่วนกองทุน Ethereum ETFs ก็สร้างความโดดเด่นไม่น้อย โดยสามารถดึงดูดเงินลงทุนได้ถึง 3.5 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกหลังเปิดตัว ซึ่งถือว่าเหนือกว่ากองทุนประเภทเดียวกัน ทั้งในด้านมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการและจำนวนผู้ลงทุนในระดับสถาบัน
มากไปกว่านั้นกว่า 83% ของนักลงทุนสถาบันมีแผนจะเพิ่มการถือครองคริปโทฯ ในอนาคต และอีก 59% วางแผนจัดสรรพอร์ตลงทุนมากกว่า 5% ให้กับสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะที่อีก 76% เตรียมลงทุนในสินทรัพย์จริงที่ถูกแปลงเป็นโทเคนให้อยู่บนบล็อกเชน (RWA) ภายในปี 2026
อย่างไรตามงานวิจัยของ Coinbase ได้ชี้ให้เห็นว่า “กรอบกฏหมายที่ชัดเจน” ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนระดับสถาบัน โดยกว่า 90% ของบริษัทใน Fortune 500 และอีก 60% ของนักลงทุนสถาบันเชื่อว่า การมีระเบียบข้อบังคับที่แน่นอนจะช่วยเร่งให้การนำบล็อกเชนไปใช้งานจริงในวงกว้างยิ่งขึ้น
ที่มา : Crypto Slate

