<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Newton Protocol (NEWT) คืออะไร? รู้จักกับโปรเจกต์ AI และ Cloud ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Web3

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในโลกดิจิทัลยุคปัจจุบัน คลาวด์คอมพิวติ้ง (cloud computing) กลายเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนแอปพลิเคชัน แพลตฟอร์ม และบริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต แต่หนึ่งในโปรเจกต์ใหม่ล่าสุดอย่าง Newton Protocol กำลังเปลี่ยนเกม ด้วยการสร้างระบบคอมพิวเตอร์แบบกระจายศูนย์ ที่เน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเปิดให้ใช้งานแบบไร้ศูนย์กลาง

ถ้าคุณสงสัยว่า Newton Protocol คืออะไร? หรืออยากรู้ว่า คริปโต NEWT ใช้ทำอะไรได้บ้าง ? บทความนี้ทางสยามบล็อกเชน จะมาช่วยไขข้อข้องใจให้คุณเข้าใจได้แบบหมดเปลือก

Newton Protocol คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่กระจายศูนย์อำนาจ ซึ่งเปรียบเสมือนการสร้างชั้น (Layer) ใหม่สำหรับการทำงานอัตโนมัติบนอินเทอร์เน็ต ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้ 

สิ่งที่แตกต่างจากระบบคลาวด์แบบเดิมๆ ที่ต้องพึ่งพาผู้ให้บริการส่วนกลางรายใหญ่ๆ Newton จะมีบัญชีแยกประเภทบนบล็อกเชน (blockchain-based registry) ที่ใช้สำหรับบันทึกบริการด้านการประมวลผลต่างๆ

บริการเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่ฟังก์ชันพื้นฐานของคลาวด์ ไปจนถึงเครื่องมือ AI สุดล้ำ และการประมวลผลข้อมูล ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเข้าถึงได้ในสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง, มีมาตรฐาน, และไม่ต้องขออนุญาตจากใครเลย

เป้าหมายหลักของ Newton Protocol คือ การเปิดโอกาสให้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนา, องค์กร, หรือแม้แต่บุคคลทั่วไป สามารถที่จะเสนอบริการประมวลผล หรือ ใช้งานบริการประมวลผลได้เอง โดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับบริษัทใดบริษัทหนึ่งอีกต่อไป

ด้วย API แบบเปิด (open APIs) ที่ช่วยให้เชื่อมต่อได้ง่าย, การประมวลผลที่สามารถ ตรวจสอบได้ เพื่อความโปร่งใส, และการทำงานอัตโนมัติที่ผู้ใช้สามารถควบคุมได้เอง 

ทำไมต้องมี Newton Protocol?

แนวคิดเบื้องหลัง Newton Protocol เริ่มต้นจาก ปัจจุบันบริการคลาวด์มีการรวมศูนย์มากเกินไป การประมวลผลและการทำงานอัตโนมัติออนไลน์ส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยบริษัทใหญ่ๆ เพียงไม่กี่แห่ง ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาหลักๆ ถึง 4 อย่าง 

  • เรื่องความน่าเชื่อถือ: ผู้ใช้งานต้องเชื่อใจผู้ให้บริการแบบเต็มร้อยว่าจะรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและระบบไว้ได้
  • ข้อจำกัดในการเข้าถึง: ผู้ให้บริการคลาวด์มีอำนาจที่จะเซ็นเซอร์ จำกัด หรือแม้แต่ยกเลิกบริการได้ตามใจชอบ
  • การผูกขาดผู้ให้บริการ: การย้ายจากผู้ให้บริการรายหนึ่งไปอีกรายนั้น เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ซับซ้อน และมีค่าใช้จ่ายสูงมาก
  • ความกระจัดกระจายใน DeFi และ Web3: แม้แต่ระบบกระจายศูนย์ที่กำลังเกิดขึ้นใหม่ ก็ยังขาดการเชื่อมโยงหรือการมีมาตรฐานเดียวกัน

Newton Protocol เข้ามาจัดการปัญหาเหล่านี้ ด้วยการกระจายศูนย์บริการประมวลผล ออกไปผ่านบัญชีแยกประเภทบนบล็อกเชน (on-chain registry) และใช้ มาตรฐานแบบเปิด การทำแบบนี้จะช่วยลดการพึ่งพาตัวกลาง ส่งเสริมให้ระบบต่างๆ ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น และทำให้มีการทำงานอัตโนมัติ สามารถตั้งโปรแกรมและตรวจสอบได้สำหรับผู้ใช้ทุกคน

Newton Protocol (NEWT) ทำงานยังไง?

Newton Protocol ถูกสร้างขึ้นมาจาก 4 ส่วนประกอบหลักๆ ที่ทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่โปร่งใสและตรวจสอบได้บนอินเทอร์เน็ต ดังนี้

  • บัญชีแยกประเภทบริการบนบล็อกเชน (On-Chain Service Registry) นี่คือหัวใจสำคัญ เป็นฐานข้อมูลสาธารณะที่บันทึกบริการประมวลผลทั้งหมดที่มีอยู่ ทุกรายการจะมีข้อมูลครบถ้วน ทั้งรายละเอียดผู้ให้บริการ ราคา อินเทอร์เฟซ และเงื่อนไขการใช้งาน ทุกอย่างจะโปร่งใสและทุกคนสามารถเข้าถึงได้แบบไม่มีปิดบัง ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มีใครแอบซ่อนอะไรไว้ได้เลย
  • อินเทอร์เฟซและ API ที่เป็นมาตรฐาน (Standardized Interfaces and APIs) บริการทั้งหมดที่อยู่ในบัญชีแยกประเภทนี้ จะถูกสร้างขึ้นตามมาตรฐานแบบเปิด ซึ่งหมายความว่า สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นสุดๆ นักพัฒนาจึงไม่ต้องมาปวดหัวกับปัญหาความเข้ากันได้เวลาที่ต้องสร้างหรือรวมเครื่องมือต่างๆ เข้าด้วยกัน ทำให้การพัฒนามีประสิทธิภาพและง่ายขึ้นเยอะเลย
  • การค้นหาบริการและการจัดองค์ประกอบเวิร์กโฟลว์ (Service Discovery and Workflow Composition) ผู้ใช้สามารถค้นหาบริการที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะใช้งานบริการทีละอย่าง หรือจะนำมาเชื่อมต่อกันเพื่อสร้างเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติที่ซับซ้อนขึ้นก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น นักพัฒนาอาจจะนำโมเดล AI มารวมกับบริการฟีดข้อมูลราคา เพื่อสร้างกลยุทธ์การซื้อขาย DeFi ที่ทำงานได้เองอัตโนมัติ
  • การตรวจสอบและสิ่งจูงใจบนบล็อกเชน (On-Chain Verification and Incentives) ทุกๆ งานประมวลผลที่เกิดขึ้นบน Newton Protocol จะสร้างหลักฐานการเข้ารหัสลับที่สามารถตรวจสอบได้บนบล็อกเชน ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยส่งเสริมให้ผู้ให้บริการมีความซื่อสัตย์ เพราะถ้าให้บริการถูกต้องก็จะได้รับรางวัล แต่ถ้าเกิดความล้มเหลวหรือทุจริตก็จะถูกลงโทษ การันตีความน่าเชื่อถือและความยุติธรรมให้กับระบบ

ฟีเจอร์เด่น ๆ ของ Newton Protocol 

Newton Protocol มาพร้อมนวัตกรรมสุดล้ำ ที่ทำให้ระบบทรงพลังและใช้งานง่าย

ฟีเจอร์แรกคือ การทำงานอัตโนมัติที่ตรวจสอบได้ด้วย TEEs และ ZKPs การที่ Newton ใช้เทคโนโลยีอย่าง Trusted Execution Environments (TEEs) และ Zero-Knowledge Proofs (ZKPs) ทำให้มั่นใจได้ว่า ระบบอัตโนมัติ (automation agents) จะทำงานได้อย่างปลอดภัยและโปร่งใส ทุกขั้นตอนการทำงานสามารถตรวจสอบย้อนหลังบนบล็อกเชนได้ทั้งหมด โดยไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลส่วนตัวหรืออัลกอริทึมลับเฉพาะจะรั่วไหลเลย

ฟีเจอร์ต่อมาคือ zkPermissions: กฎการทำงานอัตโนมัติที่กำหนดเองได้ ผู้ใช้สามารถกำหนดเงื่อนไขการทำงานต่างๆ ได้เองตามใจชอบด้วยฟีเจอร์ zkPermissions ซึ่งรวมถึงการตั้งกฎอย่าง การจำกัดปริมาณการซื้อขาย, การบังคับให้ทำงานตามช่วงเวลาที่กำหนด, หรือแม้แต่การสั่งให้ระบบทำงานอัตโนมัติเฉพาะ เมื่อตลาดมีเงื่อนไขเฉพาะเจาะจงเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์ 

นอกจากนี้ Newton ยังทำหน้าที่เป็น ตลาดสำหรับการทำงานอัตโนมัติ (Automation Marketplace) ที่มีบทบาทหลัก 4 อย่าง คือ นักพัฒนา ทำหน้าที่สร้างเอเจนต์ (agents) หรือระบบอัตโนมัติ, ผู้ดำเนินการ (Operators) เป็นคนทำงานเหล่านั้น, ผู้ใช้งาน (Users) เป็นผู้ส่งคำขอให้ทำงานอัตโนมัติ, และ ผู้ตรวจสอบความถูกต้อง (Validators) ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเครือข่าย ระบบนิเวศนี้จะเติบโตและขยายตัวตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทำให้มั่นใจได้ว่า จะมีบริการที่หลากหลายและสามารถรองรับการใช้งานในวงกว้างได้แน่นอน

สุดท้าย Newton Protocol ยังรองรับ ได้หลายบล็อกเชน และหลายโปรโตคอล (Cross-Chain and Multi-Protocol Support) ซึ่งหมายความว่า เวิร์กโฟลว์อัตโนมัติของคุณสามารถทำงานข้ามระบบนิเวศต่างๆ ได้อย่างราบรื่น ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น คุณสามารถกำหนดให้ระบบดำเนินการกลยุทธ์การให้กู้ยืมบน Ethereum จากนั้นปรับสมดุลการทำ Yield Farm บน Solana ซึ่งทั้งหมดนี้จะได้รับการตรวจสอบและทำงานโดยอัตโนมัติ สะดวกสบายและมีประสิทธิภาพสุดๆ 

โทเค็น NEWT หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อน Newton Protocol

NEWT คือ หัวใจสำคัญของ Newton Protocol เลยก็ว่าได้ เป็นโทเค็นยูทิลิตี้หลักที่จำเป็นต่อการใช้งานทุกอย่างในระบบนิเวศนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงบริการต่างๆ, การชำระเงิน, การ Stake (ล็อกเหรียญเพื่อรับรางวัล), การมีส่วนร่วมในการกำกับดูแล (Governance) ไปจนถึงการจัดการสิทธิ์การใช้งานต่างๆ

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะใช้งานโมเดล AI, ส่งคำสั่งให้ระบบทำงานอัตโนมัติ, หรือแม้แต่รันโหนดผู้ตรวจสอบความถูกต้อง (validator node) คุณก็จะต้องใช้โทเค็น NEWT เพื่อโต้ตอบกับโปรโตคอลนี้ทั้งหมด

Tokenomics ของ NEWT

อุปทานของ NEWT ทั้งหมดถูกกำหนดไว้ที่ 1 พันล้านโทเค็น และที่สำคัญคือ จะไม่มีภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้นหลังจากการเปิดตัว การกระจายโทเค็นได้รับการออกแบบมาอย่างดี เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของชุมชน, ความปลอดภัยของโปรโตคอล, และความยั่งยืนในระยะยาว โดยแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ:

60% สำหรับการจัดสรรให้ชุมชน ซึ่งรวมถึง 10% สำหรับ Airdrops และรางวัลชุมชน, 8.5% เป็นแรงจูงใจในการ Stake เครือข่าย, 4% สำหรับการสนับสนุนสภาพคล่อง, 15.5% ให้กับกองทุนการเติบโตของระบบนิเวศ, 12.5% เป็นกองทุนพัฒนา และอีก 9.5% เป็นกองทุนคลัง

ส่วนที่เหลืออีก 40% เป็นการจัดสรรภายใน โดยแบ่งเป็น 18.5% สำหรับผู้มีส่วนร่วมหลัก (Core Contributors), 16.5% สำหรับผู้สนับสนุนช่วงแรก (Early Backers) และ 5% สำหรับ Magic Labs

เมื่อเปิดตัว อุปทานหมุนเวียนจะอยู่ที่ 21.5% หรือคิดเป็น 215 ล้านโทเค็น การปลดล็อกโทเค็นถูกกำหนดไว้เป็นเวลาหลายปี เพื่อรักษาความหายากของโทเค็นและป้องกันไม่ให้โทเค็นถูกเทขายในตลาดอย่างกะทันหัน ซึ่งจะช่วยให้มูลค่าของ NEWT มีความมั่นคงในระยะยาว

ที่มา : bitrue