<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

‘อ.ตั๊ม พิริยะ’ เผยเหตุผลทำไม 95% ของนักเทรดในตลาด มักจะขาดทุนเสมอ 

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2025 ที่ผ่านมา อาจารย์ตั๊ม หรืออาจารย์พิริยะ สัมพันธารักษ์ ได้ออกมาตอบคำถามสำคัญผ่าน คลิปวิดีโอในช่อง youtube – ‘Right Shift’ เกี่ยวกับประเด็นการเทรด การลงทุน ในตอน “ฝันอยากจะรวยแต่ไม่รู้จักเก็บออม คือ “ฝันกลางวัน”” 

ในช่วงต้นคลิป อาจารย์ตั๊ม หรืออาจารย์พิริยะ สัมพันธารักษ์ ได้ปูพื้นฐานในเรื่องของวิธีการบริหารจัดการเงิน  โดยกล่าวว่า เมื่อพูดถึงการเทรด การลงทุน หลายคนนึกถึงวิธีที่จะรวยลัด รวยเร็ว แต่ในความเป็นจริง การเทรดการลงทุน มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะสถิติในตลาด 95% ของนักเทรด ขาดทุนเสมอ เป็นสถิตมาตั้งแต่สมัยปี 20,30,50 ทุกครั้งที่มีการทำสำรวจ ทำการตรวจสอบ ก็พบว่า ในตลาดที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆ นักเกร็งกำไรที่หวังรวยจากการซื้อถูกขายแพงในตลาด มักจะลงเอยด้วยการซื้อแพงขายถูก ซื้อมาแล้วไม่ได้ขาย ติดดอยไปวัน ๆ ทำใหัคนส่วนใหญ่ในตลาดขาดทุน

แล้วคนส่วนน้อยที่กำไร ก็ไม่ได้กำไรมากมาย มีเพียงแค่ 1-2% เท่านั้น ที่สามารถทำกำไรแบบมหาศาลได้ ซึ่งบางคนก็พิสูจน์ว่า ไม่ใช่ฟลุ๊ค สามารถทำซ้ำได้

อาจารย์ตั๊ม กล่าวเสริมว่า ในวงการการเทรด การลงทุน ในตลาด คนส่วนใหญ่ขาดทุน มีคนส่วนย่อยเล็กๆ ที่ทำกำไรพอจะเป็นกอบเป็นกำ แล้วอีกส่วน เอาจริง ๆ ก็แค่ ทรงๆ อยู่ตัว กลับมาถามตัวเองว่า เราอยากจะเทรดจริงหรอ ? เอาแค่นี้เลยนะ ตามสถิติง่ายๆ แค่นี้ คุณอยากจะเทรดจริงหรอ ? แต่ส่วนใหญ่ก็จะตอบว่า ใช่ เพราะคิดว่าจะเป็นผู้กล้าที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตคุณเองได้ แต่ถ้าพูดในหลักความเป็นจริง คือมันเป็นไปได้ยากมาก

อาจารย์ตั๊ม ตั้งคำถามว่า แล้วถ้าไม่ให้เทรดแล้วจะให้ทำอะไร อาจารย์ตั๊ม มองว่าวิธีที่ง่ายกว่านั้นในการหาเงิน ในการเก็บเงิน ในการเก็บสะสมความมั่งคั่งได้ ก็คือ การตั้งหน้าตั้งตา ตั้งใจทำงานไป ให้เป็นคนเก่งแล้วมีค่าตัวสูงเรื่อยๆ จากนั้นคุณค่อยเก็บเงิน แล้วเก็บออม ซึ่งนั้นเป็นวิธีที่ทำให้คุณสามารถมีเงินขึ้นมาได้ เหมือนกัน

นอกจากนี้ อาจารย์ตั๊ม ยังได้กล่าวถึง ปัญหามูลค่าของเงินผ่านกาลเวลา ว่า ปัญหาของการเก็บเงินคือ เมื่อเวลาผ่านไป มีสิ่งที่เรียกว่า การเสื่อมค่าของเงิน ซึ่งถ้าคุณเก็บเงินของคุณเอาไว้ ไม่ว่ายอดเท่าไหร่ก็ตาม มันจะเสื่อมค่าลงไปเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป เพราะฉะนั้น แปลว่าถ้าคุณเก็บเงินแล้วไม่ได้เติมเงินเข้าไป มันจะมีอำนาจการจับจ่าย ร่อยหรอลงเรื่อย ๆ 

นี่คือสิ่งที่ Bitcoin เข้ามาพยายามเสนอทางออกให้กับปัญหาตัวนี้ ด้วยการทำตัวเองเป็น store of value ที่ดี ด้วยการที่มีปริมาณจำกัด ไม่สามารถผลิตเพิ่มได้ มีกฎการผลิตที่ตายตัว มีความยุติธรรม ทำให้ supply มีจำกัด แล้วถ้า demand เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆแปลว่า น่าจะมีมูลค่า หรือมีอำนาจการจับจ่ายเพิ่มขึ้น 

แต่สุดท้ายแล้ว การจะเป็นเงินที่มั่งคง ก็ควรจะมีมูลค่าคงที่ ทำให้เงินที่เราเก็บไว้มีอำนาจการจับจ่าย อยู่คู่กับเราไปได้จนเราแก่ หรือว่าจะให้ดีไปกว่านั้นอีก ถ้าเงินตรงนี้มีปริมาณจำกัด แต่ว่า demand ของมันจะเจริญเติบโตขึ้นตลอดเวลา จากพัฒนาการทางเทคโนโลยี ทำให้ข้าวของมีราคาถูกลงเรื่อยๆ แต่เงินนี้ เมื่อเรายิ่งแก่ มันยิ่งตอบโจทย์ชีวิตของเราเรื่อยๆ  ซึ่งการที่เรามีเงินที่แข็งแรง มันก็จะสามารถแข็งแกร่งต่อไปได้เป็นเวลานาน

ปัญหาของหลายคนตอนนี้คือ ไม่ได้มีเงินก้อน ซึ่งถ้าคุณยังไม่สามารถออมได้ คุณยังไม่มี wealth หน้าที่ของคุณตอนนี้ ไม่ใช่มองหาวิธีการลงทุน วิธีการรวยลัด หน้าที่ของคุณคือ ไปพยายามสร้างรายได้ ให้มากกว่ารายจ่ายให้ได้  พยายามลดรายจ่ายลง  อาจารย์ตั๊มกล่าว 

ถ้าสเตปคุณยังไม่มี wealth  คุณยังไม่ได้มีความมั่งคั่งให้มันเสื่อมค่าลงไปเมื่อเวลาผ่านไป คุณยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการรักษามูลค่าระยะยาวของ Bitcoin เพราะคุณยังไม่เคยเก็บออมได้ อยากให้กลับไปพยายามทำให้มี wealth ให้ได้ก่อน 

สเตปแรกคือ กลับไปดูเรื่องการเก็บออมเป็นหลัก การออมคือแม่ทุกสถาบัน การออมคือ จุดเริ่มต้นของการลงทุน ถ้าไม่มีการออมแล้ว เหมือนคนที่มีฐานรากไม่มั่นคง

อาจารย์ตั๊ม ยังพูดถึงเรื่องพีระมิดการลงทุนว่า คนส่วนใหญ่ที่เริ่มต้น มักเริ่มต้นด้วยการมองเข้ามาหาทางเกร็งกำไร (speculate) ด้วยเงินทั้งหมดที่เขามี ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จแห่งหายนะ เพราะว่า คุณจะไม่มีวันชนะตลาดได้เลย เพราะตลาดคือสนามรบ มีคนขาดทุน มีคนกำไร เหมือนคุณเริ่มในสนามรบที่ไม่มีที่ให้ถอย เหมือนคุณแพ้ตั้งแต่ก่อนจะเริ่มรบแต่คนก็มักจะเริ่มแบบนี้ เพราะปัญหาของคนส่วนใหญ่คือ มันก็มีเงินแค่นี้แหละ

พื้นฐานถ้าจะเก็งกำไร (Speculate) ได้ ต้องเริ่มจากการแบ่งเงินที่คุณออม (saving) เอาไว้ไป เก็งกำไร (Speculate) มันจะทำให้คุณทนความเสี่ยงได้สูงขึ้น เพราะเงินที่คุณเอาไปลงทุน มันเป็นเงินส่วนเล็ก ๆ ที่คุณเอาไปเก็บออม 

อาจารย์ตั๊ม กล่าวว่า เวลาลงทุน ผมหวังผลกำไร 10%-20% ต่อปี ผมว่า ผมโอเคแล้ว แต่หลายคน ทำตรงนี้ไม่ได้เพราะว่า ข้อที่ 1 ไม่มีเงินออม ข้อที่ 2 ออมไม่พอ เงินออมยังใหญ่ไม่พอ ดังนั้นเงินที่แบ่งมา เก็งกำไร (Speculate) ก็ต้องใหญ่พอ หรือถ้าคุณจะแบ่งพอร์ตอีก อาจแบ่งเป็นลงทุน (Investment) หรือการ gemble ส่วนนี้เอาไปแทงเลย เป็นเงินที่เสียได้ทั้งหมด ซึ่งการจะแบ่งพอร์ตเป็นขั้น ๆ แบบนี้ได้ ข้อสำคัญเลยคือ ฐานรากมันต้องมั่นคง 

การที่ฐานรากจะมั่นคงมันต้องใหญ่ เพียงพอ เมื่อมันใหญ่เพียงพอ ส่วนที่เป็น ส่วนลงทุน (Investment) คุณอาจจะหวัง 5% ต่อปี  ส่วนการเก็งกำไร (Speculate) อาจจะหวัง 10-15% ต่อปี ส่วน gemble อาจจะหวัง 50% ต่อปี แต่ต้องเป็นเงินก้อนเล็กที่สุด สิ่งนี้จะเริ่มเป็นความคาดหวังที่มีความเป็นไปได้

แต่ส่วนใหญ่ที่ไปตายคือ ไม่ได้หวัง 10% ต่อปี แต่คุณหวังรวยปีหน้า หรือคุณเปิดพอร์ตวันนี้ แล้วมานั่งเช็คเรื่อยๆ ว่าคุณรวยหรือยัง เพราะรอไม่เป็น แล้วทำไมเราถึงรอไม่เป็น เพราะฐานเราไม่มั่นคงพอ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการสร้างฐานให้มันมั่นคงพอ สร้างการออมให้มันมั่นคง