<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

กลยุทธ์คลังสำรอง ‘บิตคอยน์’ จะประสบความสำเร็จในเอเชียไหม ?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

บิตคอยน์กำลังกลายเป็นประเด็นสำคัญในเอเชีย ซึ่งไม่ได้ถูกขับเคลื่อนโดยนักลงทุนรายย่อย แต่เป็นกลุ่มนักการเมือง และหน่วยงานกำกับดูแล ที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทาง

การตัดสินใจของบุคคลเหล่านี้ ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพคล่อง, ความน่าเชื่อถือ และยังเป็นตัวตัดสินว่า ประเทศในเอเชียจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันในการถือครองบิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์สำรองในระดับโลกหรือไม่

ซึ่งประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย ก็เริ่มเคลื่อนไหว เพื่อควบคุมและกำกับดูแลตลาดคริปโตฯ อย่างจริงจัง โดยมีประเทศฮ่องกง เป็นผู้นำในภูมิภาคที่ได้เปิดตัวกองทุน Spot Bitcoin ETF และ Spot Ether ETF แห่งแรกในเอเชีย เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2024  และมุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางทางการเงิน โดยดึงดูดผู้ดูแลสินทรัพย์ และผู้ตรวจสอบบัญชีให้เข้ามา

ตามมาด้วยประเทศออสเตรเลีย ที่ได้เปิดตัวกองทุนเมื่อเดือน 20 มิถุนายน 2024  แถมเปิดทางให้กองทุนบำเหน็จบำนาญสามารถลงทุนในคริปโตฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย ส่วนประเทศเกาหลีใต้ ก็บังคับใช้กฎหมายคุ้มครองผู้ใช้งานคริปโต ด้วยกฎระเบียบที่รัดกุมเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2024 ซึ่งกำหนดให้ผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล ต้องเก็บสินทรัพย์อย่างน้อย 80% ใน Cold Storage และต้องมีการประกันความเสี่ยง  

ขณะที่ อินโดนีเซีย เน้นการกำกับดูแลที่เข้มข้น โดยเริ่มให้หน่วยงานด้านการเงิน OJK เข้ามากำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล ตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงทิศทางของภูมิภาค ที่มุ่งเน้นการสร้างความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัยให้กับตลาดคริปโตมากยิ่งขึ้น 

แม้ในภูมิภาคเอเชียจะมีความเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน แต่เบื้องหลังการตัดสินใจของแต่ละประเทศก็มีความแตกต่างกัน 

โดย จีน ยังคงไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการจัดการ บิตคอยน์ที่ถูกยึด ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันในแต่ละพื้นที่ ส่วน ฮ่องกง กำลังอยู่ในช่วงที่ธนาคารและบริษัทฟินเทค เตรียมยื่นขอใบอนุญาตภายใต้กฎหมาย Stablecoin ใหม่ 

ในขณะที่ ญี่ปุ่น ได้ปฏิเสธที่จะใช้บิตคอยน์เป็นทุนสำรองของชาติอย่างเป็นทางการ และ ไต้หวัน ก็กำลังพิจารณาข้อเสนอจากสมาชิกสภา ให้กันงบประมาณ 0.1% ของ GDP เพื่อใช้เป็นทุนสำรองบิตคอยน์

ความแตกต่างของนโยบายเหล่านี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทิศทางการไหลของเงินทุนในภูมิภาคอย่างชัดเจน

แม้บิตคอยน์ที่รัฐบาลทั่วโลกถือครองส่วนใหญ่ จะได้มาจากการยึดทรัพย์ ไม่ใช่จากการเข้าซื้อโดยตรง สำหรับเป็นทุนสำรองแห่งชาติอย่างเป็นทางการ เช่น กรณีของ จีน ที่ยึดบิตคอยน์จากคดี PlusToken ได้ถึง 195,000 BTC ขณะที่ สหราชอาณาจักร ก็ยึดบิตคอยน์ทำสถิติใหม่ในปี 2024

ซึ่งนโยบายการจัดการบิตคอยน์ที่ยึดมาก็มีความแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละประเทศ เช่น สหรัฐฯ เลือกที่จะเก็บบิตคอยน์ ที่ยึดไว้ ในขณะที่ เยอรมนี กลับเลือกที่จะขายบิตคอยน์ ทิ้ง ซึ่งความไม่สอดคล้องกันนี้อาจสร้างความผันผวนครั้งใหญ่ในตลาดได้ หากมีการขายในปริมาณมาก

ปัจจุบัน รัฐบาลทั่วโลกถือครองบิตคอยน์รวมกันถึง 463,741 BTC หรือคิดเป็นประมาณ 2.3% ของอุปทานทั้งหมด แต่ยังคงไม่มีความชัดเจนว่า บิตคอยน์เหล่านี้จะถูกเก็บไว้ในระยะยาว, ขายทิ้ง หรือมีการเปลี่ยนสถานะทางบัญชีในอนาคต

แม้การเปิดตัว กองทุน ETF ทองคำ เมื่อ 20 ปีก่อน ได้เปิดโอกาสให้เงินทุนสถาบันไหลเข้าสู่ตลาดอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดคริปโตฯ ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดอยู่ โดยเฉพาะประเด็นด้านการตรวจสอบการฟอกเงิน (AML) และการเก็บรักษาสินทรัพย์

โดยประเด็นเรื่องการใช้บิตคอยน์เป็นทุนสำรองของชาติ กำลังกลายเป็นวาระสำคัญทางการเมือง โดย ในปี 2025 บราซิล ก็มีการจัดการประชุมสภา เพื่อเสนอให้กันทุนสำรองสูงสุด 5% ไว้ในบิตคอยน์ ในขณะที่ สหรัฐฯ เองก็มีรัฐเท็กซัส ที่ออกกฎหมายเพื่อจัดตั้งทุนสำรองบิตคอยน์ในระดับรัฐแล้วเช่นกัน การเคลื่อนไหวเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ประเด็นเรื่อง ทุนสำรองบิตคอยน์แห่งชาติ กำลังถูกขับเคลื่อนโดยแรงผลักดันทางการเมืองมากกว่ากลไกของตลาดเพียงอย่างเดียว

บทบาทของเอเชียในตลาดคริปโตฯ กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยการตัดสินใจของแต่ละประเทศจะกำหนดทิศทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งแต่ละประเทศในเอเชียต้องตัดสินใจว่า จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการเงินอย่างเต็มตัว หรือจะยังคงดำเนินไปอย่างระมัดระวัง

ที่มา : beincrypto