<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Blockchain (บล็อกเชน)คืออะไร ? อธิบายง่ายๆ ในสไตล์คนไทย

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หลายคนอาจเคยสงสัยว่า ทำไม Blockchain ถึงกลายเป็นเทคโนโลยีที่ทุกคนพูดถึง? ที่จริงแล้ว การเกิดขึ้นของ Blockchain มาจากปัญหาพื้นฐานที่มนุษยชาติเจออยู่ตลอดเวลา นั่นคือ “ปัญหาเรื่องความไว้ใจ” 

เมื่อเราต้องการส่งเงิน หรือแลกเปลี่ยนสิ่งของกับคนอื่น เราจำเป็นต้องมีคนกลาง ที่คอยตรวจสอบและรับรองธุรกรรม ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร หน่วยงานราชการ หรือบริษัทต่างๆ แต่ปัญหาคือ คนกลางเหล่านี้ อาจทุจริต ผิดพลาด หรือถูกแฮ็กได้

Blockchain คืออะไร ทำไมเปรียบเหมือนสมุดบัญชีที่ทุกคนเคยเห็น

ที่มาภาพ : sirtbhopal

Blockchain ง่ายๆ คือ “สมุดบัญชีดิจิทัลที่ทุกคนสามารถดูได้ แต่ไม่มีใครแก้ไขได้” ลองจินตนาการว่า ในหมู่บ้านหนึ่งมีสมุดบัญชีขนาดยักษ์วางอยู่กลางหมู่บ้าน ทุกครั้งที่มีคนซื้อขาย ยืม ให้ หรือแลกเปลี่ยนของกัน ทุกคนในหมู่บ้านจะต้องมาดู และยืนยันว่าธุรกรรมนี้ถูกต้อง และเมื่อยืนยันแล้ว จะเขียนลงในสมุดบัญชีนี้ หากมีคนพยายามแก้ไขข้อมูล คนอื่นๆ ในหมู่บ้านจะรู้ทันที เพราะสมุดของทุกคนไม่ตรงกัน

โครงสร้างของ Blockchain เหมือนโซ่ที่เชื่อมต่อกัน

ที่มาภาพ : datasciencecentral

ชื่อ “Blockchain” มาจากคำว่า “Block” (บล็อก) กับคำว่า “Chain” (โซ่) เนื่องจาก ข้อมูลถูกเก็บ อยู่ในรูปแบบของบล็อกที่เชื่อมต่อกันเป็นโซ่ยาวๆ แต่ละบล็อกจะมีข้อมูลธุรกรรมหลายๆ รายการ พร้อมกับรหัสพิเศษที่เรียกว่า “Hash” ที่ทำหน้าที่เป็นลายนิ้วมือของบล็อกนั้น ๆ ซึ่ง Hash ของแต่ละบล็อกจะเชื่อมโยงกับ Hash ของบล็อกก่อนหน้า ทำให้เกิดเป็นโซ่ที่ต่อเนื่องกัน

สิ่งที่น่าสนใจคือ หากมีคนพยายามแก้ไขข้อมูลในบล็อกใดบล็อกหนึ่ง Hash ของบล็อกนั้นจะเปลี่ยน และจะส่งผลให้ Hash ของบล็อกต่อ ๆ ไปทั้งหมด ต้องเปลี่ยนตาม ซึ่งเป็นเรื่องที่เกือบเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เพราะต้องใช้พลังงานคอมพิวเตอร์มหาศาล

การทำงานของ Blockchain ระบบที่ไร้คนกลาง

ที่มาภาพ : dapp. expert

สิ่งที่ทำให้ Blockchain พิเศษคือ มันไม่ต้องการคนกลาง (Decentralized) แทนที่จะมีธนาคาร หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งคอยควบคุม 

Blockchain จะกระจายการควบคุมไปยังเครือข่ายของคอมพิวเตอร์นับพันเครื่องทั่วโลก คอมพิวเตอร์เหล่านี้เรียกว่า “Node” และทุก Node จะมีสำเนาข้อมูล Blockchain ที่เหมือนกันทุกประการ

เมื่อมีธุรกรรมใหม่เกิดขึ้น Node ต่าง ๆ จะทำการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมนั้น ถ้าส่วนใหญ่เห็นว่า ถูกต้อง ธุรกรรมนั้นจะถูกบันทึกลงในบล็อกใหม่ และเพิ่มเข้าไปในโซ่ กระบวนการนี้เรียกว่า “Consensus” หรือการตกลงร่วมกัน

Mining และ Proof of Work ผู้รักษาความปลอดภัยของเครือข่าย

ที่มาภาพ : cnbc

ใน Blockchain บางประเภท (เช่น Bitcoin) จะมีกลุ่มคนที่เรียกว่า “Miner” หรือนักขุด ทำหน้าที่ตรวจสอบแ ละยืนยันธุรกรรม Miner จะต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถสูงในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน กระบวนการนี้เรียกว่า “Proof of Work”

คิดง่ายๆ ว่า Miner เป็นเหมือนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยธนาคาร ที่ต้องแก้ปริศนายากๆ ก่อนที่จะได้สิทธิ์ในการประกาศว่า ธุรกรรมนั้นถูกต้อง และเป็นการแลกกับรางวัลที่ได้รับ (เช่น Bitcoin) ซึ่งทำให้ระบบมีความปลอดภัย เพราะใครที่จะโกงจำเป็นต้องใช้พลังงานคอมพิวเตอร์มหาศาลจนไม่คุ้มทุน

ประเภทของ Blockchain

ที่มาภาพ : getsecureworld

Blockchain สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ Public Blockchain ที่ทุกคนสามารถเข้าถึง และใช้งานได้ เช่น Bitcoin และ Ethereum ซึ่งเปิดกว้างสำหรับทุกคน มีความปลอดภัยสูง แต่ใช้พลังงานมาก และทำงานช้า

Private Blockchain เป็นเครือข่าย Blockchain ที่ใช้ภายในองค์กร หรือกลุ่มคนจำนวนจำกัด มีความเร็วสูง ประหยัดพลังงาน แต่มีความกระจายอำนาจน้อยกว่า เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความเป็นส่วนตัว และการควบคุมในระดับหนึ่ง

Consortium Blockchain หรือ Hybrid Blockchain เป็นการผสมผสานระหว่าง Public และ Private โดยมีกลุ่มองค์กรหลายแห่งร่วมกันควบคุมเครือข่าย เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมที่หลายองค์กร ต้องทำงานร่วมกัน แต่ยังต้องการการควบคุมในระดับหนึ่ง

การนำ Blockchain ไปใช้งานในชีวิตจริง

ที่มาภาพ : authena

นอกจาก Cryptocurrency แล้ว Blockchain ยังสามารถนำไปใช้ในหลายด้าน เช่น Supply Chain Management สำหรับการติดตามสินค้า ตั้งแต่ต้นทางจนถึงผู้บริโภค ทำให้สามารถตรวจสอบได้ว่า สินค้านั้นมาจากไหน ผ่านขั้นตอนใดบ้าง และมีคุณภาพตามมาตรฐานหรือไม่

ในด้าน Healthcare Blockchain สามารถช่วยเก็บ และจัดการข้อมูลผู้ป่วยอย่างปลอดภัย โดยผู้ป่วยสามารถควบคุมได้ว่าใครจะเข้าถึงข้อมูลของตนได้บ้าง และในด้าน Real Estate ก็สามารถใช้ Blockchain ในการจัดเก็บโฉนดที่ดิน ใบหุ้น หรือเอกสารสำคัญอื่น ๆ ทำให้ป้องกันการปลอมแปลงได้

ข้อดีของ Blockchain

ข้อดีหลักของ Blockchain คือ ความปลอดภัยสูง เนื่องจากข้อมูลถูกเข้ารหัสและกระจายไว้ในหลาย Node ทำให้แฮ็กยาก มีความโปร่งใส เพราะทุกคนสามารถตรวจสอบธุรกรรมได้ และไม่มีจุดล้มเหลวเดียว (Single Point of Failure) เพราะถ้า Node หนึ่งเสีย Node อื่นยังทำงานได้ตามปกติ

นอกจากนี้ ยังลดต้นทุนโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง มีความรวดเร็วในการทำธุรกรรมข้ามประเทศ และสร้างความไว้วางใจ โดยไม่ต้องอาศัยสถาบันใดสถาบันหนึ่ง เพราะระบบเองจะรับประกันความถูกต้องของข้อมูล

ข้อเสียของ Blockchain

แม้ Blockchain จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา เช่น การใช้พลังงานมาก โดยเฉพาะ Bitcoin ที่ใช้พลังงานเท่ากับประเทศเล็ก ๆ หนึ่งประเทศ , ความเร็วในการประมวลผลยังจำกัด Bitcoin สามารถประมวลผลได้ประมาณ 7 ธุรกรรมต่อวินาที เมื่อเทียบกับ Visa ที่ทำได้หลายพันธุรกรรมต่อวินาที

ปัญหาด้าน Scalability หรือการรองรับการใช้งานจำนวนมาก และความซับซ้อนทางเทคนิคที่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจยาก รวมถึงกฎหมายที่ยังไม่ชัดเจน ในหลายประเทศ ทำให้การนำไปใช้งานในวงกว้างยังมีอุปสรรค

อนาคตของ Blockchain

ที่มาภาพ : techxplore

แม้จะมีข้อจำกัด แต่ Blockchain ก็กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาเดิม เช่น Proof of Stake ที่ใช้พลังงานน้อยกว่า Proof of Work หรือ Layer 2 Solutions ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผล

ในอนาคต เราอาจได้เห็น Blockchain ถูกนำไปใช้ในทุกด้านของชีวิต ตั้งแต่การโหวตเลือกตั้ง การจัดการข้อมูลส่วนบุคคล ไปจนถึงการสร้าง Internet แห่งใหม่ ที่เรียกว่า Web3 ที่ผู้ใช้จะมีอำนาจควบคุมข้อมูลของตนเองมากขึ้น

สรุป 

Blockchain ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีสำหรับสกุลเงินดิจิทัล แต่เป็นการปฏิวัติวิธีที่เราเก็บข้อมูล ทำธุรกรรม และไว้วางใจกัน โดยเปิดโอกาสให้เราสร้างระบบที่โปร่งใส ยุติธรรม และไม่ต้องพึ่งพิงสถาบันกลางใดๆ

สำหรับคนไทยที่สนใจเทคโนโลยีนี้ สิ่งสำคัญคือ ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจให้ดี เพราะ Blockchain ไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราว แต่เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่จะเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคต การที่เราเข้าใจและเตรียมตัวให้พร้อม จะช่วยให้เราไม่ตกขบวน และสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้อย่างเต็มที่