มูลค่าตลาดรวมของ Stablecoin ได้พุ่งทะยานทะลุ 2.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างสถิติสูงสุดใหม่ตลอดกาล (All-Time High) อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์ล่าสุดจาก CryptoQuant ชี้ให้เห็นว่าอัตราการเติบโตรายสัปดาห์ได้ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ประมาณ 1.1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลงอย่างมากจากช่วงปลายปี 2024 ที่เคยมีเงินทุนไหลเข้าระหว่าง 4-8 พันล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์ ถึงแม้การเติบโตจะช้าลง แต่ภาพรวมสภาพคล่องยังคงแข็งแกร่ง โดยตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงของการปรับฐานเพื่อการเติบโตอย่างมั่นคง มากกว่าการพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง
แม้ว่าการเติบโตของ USDT ซึ่งเป็น Stablecoin ที่ครองตลาดอยู่ จะชะลอตัวลงในช่วง 60 วันที่ผ่านมา โดยเติบโตราว 1 หมื่นล้านดอลลาร์ เทียบกับช่วงพีคที่เคยสูงกว่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ข้อมูลนี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงภาวะเงินทุนไหลออกหรือการหดตัวแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม มูลค่ารวมของ Stablecoin ที่ถูกถือครองบน Exchange กลับสร้างสถิติสูงสุดใหม่ที่ 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันที่ 22 สิงหาคม แซงหน้าสถิติเดิมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 สิ่งนี้บ่งชี้ว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงของการปรับฐานมากกว่าการเข้าสู่ภาวะขาลง
ตลาด Stablecoin กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้นำในอุตสาหกรรม, หน่วยงานกำกับดูแล และยักษ์ใหญ่แห่งวอลล์สตรีท ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากการออกกฎระเบียบใหม่ๆ, ความสนใจของนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้น และประโยชน์ใช้สอยในโลกแห่งความเป็นจริงที่มากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์การเติบโตอย่างมหาศาล โดยมีตัวเลขคาดการณ์ตั้งแต่ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ไปจนถึง 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2028
บริษัทต่างๆ เริ่มเคลื่อนไหวอย่างจริงจัง เช่น Ripple ที่กำลังผลักดันตลาด Stablecoin โดยร่วมมือกับ SBI VC Trade เพื่อนำเหรียญ RLUSD เข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น ในขณะที่ Coinbase ก็ได้ขยายบริการ Stablecoin ของตน โดยได้ลิสต์เหรียญ USD-1 ซึ่งเป็น Stablecoin ที่สร้างบนบล็อกเชนของ Ethereum และหลังจากเปิดตัวได้เพียง 4 เดือน USD-1 ก็มีมูลค่าตลาดสูงถึง 2.3 พันล้านดอลลาร์แล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณของความต้องการที่แข็งแกร่งและความสนใจจากสถาบัน
การเติบโตของ Stablecoin กำลังผลักดันให้สถาบันการเงินต้องคิดใหม่เกี่ยวกับวิธีการประมวลผลการชำระเงินดิจิทัล โดย Ethereum กำลังได้รับความนิยมในฐานะบล็อกเชนหลักสำหรับธนาคารต่างๆ ซึ่ง แจน ฟาน เอ็ก ซีอีโอของ VanEck ได้ยกให้ Ethereum เป็น “โทเคนแห่งวอลล์สตรีท” (Wall Street token) การเติบโตของ Stablecoin นี้คาดว่าจะนำไปสู่ความต้องการพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เนื่องจากต้องใช้เป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน
ที่มา: ainvest

