เทรนด์การตั้งทุนกองทุนสำรองคริปโตกำลังบูมหนักในหมู่บริษัททั่วโลก หลังจากเห็นความสำเร็จของ MicroStrategy และ Metaplanet ที่กอดบิตคอยน์ไว้แน่น รวมถึง Sharplink และ Bitmine ที่หันมาสะสม Ethereum ในปีนี้
สิ่งที่น่าสนใจคือตลาดเอเชียกับสหรัฐฯกำลังแยกทางชัดเจน โดยฝั่งเอเชียให้ความสนใจพิเศษกับ BNB เป็นทางเลือกหลักสำหรับคลังสำรอง แม้จะไม่ได้เก็บแค่ BNB อย่างเดียว แต่ก็ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่แสดงว่ากองทุนสำรองไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่แค่ BTC และ ETH เสมอไป
สำหรับบริษัทดาวเด่นทางฝั่งของ BNB จะประกอบไปด้วย CEA Industries หรือปัจจุบัน BNB Network Company (BNC) ที่ทุ่มเงินกว่า 500 ล้านดอลลาร์ ถือครอง BNB กว่า 350,000 เหรียญ พร้อมทั้งมี B Strategy และอดีตผู้บริหาร Bitmain ที่กำลังเดินหน้าตั้งกองทุนสำรอง BNB มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ และนั่นยังไม่รวมถึง Windtree ที่ทุ่มเงินซื้อแล้วกว่า $520 ล้าน
ขณะที่ฝั่งวอลสตรีทกลับเลือก Solana เป็นดาวรุ่ง โดยข้อมูลจาก Strategic SOL Reserve เผยว่าปัจจุบันมีบริษัทถือ Solana รวมกันแล้วกว่า 8.68 ล้าน SOL โดยมีผู้เล่นใหญ่อย่าง Sharps Technology (2.14 ล้าน SOL), Upexi (2 ล้าน SOL) และ DeFi Development (1.83 ล้าน SOL) เป็นต้น

สถานการณ์ยิ่งร้อนแรงขึ้นไปอีกเมื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Galaxy Digital, Jump Crypto และ Multicoin Capital รายงานว่ากำลังหารือระดมทุน $1 พันล้าน เพื่อครอบครองบริษัทในตลาดหุ้นและเปลี่ยนให้เป็นบริษัทที่ทุ่มเทให้กับ Solana แผนการนี้ได้รับแรงหนุนจาก Solana Foundation และคาดว่าจะยืนยันในต้นเดือนกันยายนนี้
อย่างไรก็ตามแม้จะมีแนวทางคล้าย ๆ กัน แต่ทั้งสองฝั่งกลับใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ฝั่งเอเชียเน้นวิธีแบบดั้งเดิม คือซื้อเหรียญ HODL และลงทุนในระบบนิเวศของ BNB ส่วนฝั่งสหรัฐฯเลือกใช้กลยุทธ์การควบรวมบริษัท การแปลงหุ้น และวิธีการซับซ้อนอื่น ๆ เพื่อเข้าสะสม Solana เป็นคลังสำรอง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หากมาลองเทียบกันดูในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าฝั่งของ BNB นั้นได้เปรียบ SOL เป็นอย่างมากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุน และจำนวนของบริษัทที่เริ่มสร้างคลังสำรอง (อ้างอิงตามข้อมูลวันที่ 27 สิงหาคม 2025)
ทว่าด้วยความที่ผู้สนับสนุน Solana ไม่ใช่บริษัททั่วไปธรรมดา แต่ประกอบด้วยกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่อย่าง Galaxy Digital และพันธมิตร ก็อาจทำให้ Solana สามารถยืนขึ้นเหนือ BNB ได้ หากเหล่าวอลสตรีทตีโต้กลับได้สำเร็จ เพราะพลังทางการเงินและอิทธิพลของกลุ่มนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
การแข่งขันครั้งนี้จึงเป็นมากกว่าศึกระหว่างเหรียญ แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างแนวคิดและกลยุทธ์ของสองซีกโลก ที่เราต้องติดตามกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้วกระแสของโลกจะเอื้อให้กับบริษัทเอเชียหรือบรรดาวอลสตรีทมากกว่ากัน

