เมื่อพูดถึงการซื้อขายหรือลงทุนในโลกคริปโต หลายคนมักนึกถึงกระดานเทรดแบบรวมศูนย์ (CEX) อย่าง Bitkub หรือ Binance ซึ่งครองตลาดด้วยความรวดเร็วในการซื้อและสภาพคล่องระดับสูง แต่ถึงจะมีข้อดีมากมาย ชุมชนคริปโตก็ยังคงมองหาทางเลือกใหม่ ๆ อย่างกระดานเทรดแบบกระจายศูนย์ (DEX) ที่ช่วยให้คุณเป็นเจ้าของสินทรัพย์ได้อย่างแท้จริง 100% เต็ม
และคำตอบที่น่าจับตามองที่สุดในตอนนี้ คือ Hyperliquid โปรเจกต์ที่ได้รับคำยกย่องจาก Arthur Hayes ผู้ร่วมก่อตั้ง BitMEX ว่าเป็น “Binance แห่งโลก DeFi” ซึ่งไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย

ทำไม Hyperliquid ถึงกลายเป็น ‘Binance แห่งโลก DeFi’ ทั้งที่ปฏิเสธเงิน VC?
เบื้องหลังความสำเร็จของ Hyperliquid คือ ทีมงานขนาดเล็กเพียง 11 คนที่นำโดย Jeff Yan ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการในชื่อ “Jeff.hl” บน X สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับผู้ก่อตั้งรายนี้คือ ประสบการณ์ของเขาในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง Chameleon Trading ซึ่งเป็นบริษัทด้านการทำ Market Maker ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
การที่ตัวผู้สร้างโปรเจกต์เองมีประสบการณ์โดยตรงในฐานะนักเทรดระดับสถาบัน ทำให้การออกแบบแพลตฟอร์มไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่ความสามารถทางเทคนิค แต่ยังคำนึงถึง “ประสิทธิภาพ” และ “สภาพคล่อง” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการซื้อขายในโลกแห่งความเป็นจริง

การตัดสินใจพัฒนาบล็อกเชน Layer-1 ขึ้นมาเองจึงเป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านความเร็วและค่าธรรมเนียมที่บล็อกเชน Layer-1 ที่มีอยู่เดิมไม่สามารถตอบโจทย์ได้
นอกจากนี้ Jeff และทีมงานยังตัดสินใจปฏิเสธเงินลงทุนจากกองทุน Venture Capital (VC) ทั้งหมด ในโลก DeFi ที่เต็มไปด้วยการระดมทุนจากนักลงทุนรายใหญ่ การตัดสินใจครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันทำให้ Hyperliquid สามารถนำโมเดล “ผู้ใช้เป็นเจ้าของ” (User-Owned) มาใช้ได้อย่างแท้จริง โดยการจัดสรรเหรียญของโปรเจกต์ (HYPE) ส่วนใหญ่ให้แก่ชุมชนผ่านการแจก Airdrop ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการคริปโต
ข้อมูลจาก DeFillama ยืนยันว่า ปริมาณการเทรดรายเดือนของ Hyperliquid ในเดือนสิงหาคม 2025 พุ่งสูงถึง 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมียอดการเทรดรายวันสูงสุดกว่า 1,600 ล้านดอลลาร์ ตัวเลขเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขที่น่าประทับใจเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการยอมรับจากผู้ใช้งานมากกว่า 190,000 ราย ที่เข้ามาใช้แพลตฟอร์มนี้กันอย่างต่อเนื่อง
ด้วยปริมาณการเทรดที่มหาศาล Hyperliquid สามารถครองส่วนแบ่งในตลาด DEX ฟิวเจอร์สได้มากกว่า 70% ซึ่งทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง Jupiter ที่มีส่วนแบ่งเพียง 9.5% อย่างขาดลอย ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่า นักเทรดจำนวนมากได้ย้ายเงินทุนและพฤติกรรมการเทรดมายังแพลตฟอร์มนี้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้งานที่ให้ความสำคัญกับสภาพคล่องและความเร็วในการดำเนินการ
ทำความรู้จัก Hyperliquid คืออะไร ?
Hyperliquid คือ กระดานเทรดฟิวเจอร์สคริปโตแบบกระจายศูนย์ (Futures DEX)ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทั้งตลาดสปอต (Spot) และตลาดฟิวเจอร์ส (Futures) บนบล็อกเชน Layer-1 ของตัวเอง นั่นหมายความว่า คุณสามารถกดใช้เลเวอเรจ 2 – 40 เท่า ได้แล้วบนบล็อกเชน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพากระดานเทรดแบบ CEX อีกต่อไป
Hyperliquid ยังเสนอเลเวอเรจที่สูงถึง 40x สำหรับ Bitcoin และ 25x สำหรับ Ethereum ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักเทรดที่ต้องการเพิ่มอำนาจการซื้อขาย โดยใช้เงินทุนที่น้อยลง
หัวใจสำคัญที่ทำให้ Hyperliquid แตกต่างไปจากแพลตฟอร์ม Futures DEX ทั่วไปคือ การที่มันถูกสร้างขึ้นบนโครงสร้างพื้นฐานและระบบที่ออกแบบมาเพื่อการเทรดฟิวเจอร์สโดยเฉพาะ ทำให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องกดยืนยันจากกระเป๋าเงินทุกครั้งที่ทำการปรับเลเวอเรจ, ตั้งจุด TP/SL หรือแม้กระทั่งการเปิด/ปิด Order
มันคงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ถ้าคุณต้องกดยืนยันธุรกรรมจากกระเป๋าเงินของคุณทุกครั้งที่จะทำการเทรดฟิวเจอร์สซึ่งต้องเข้าออกบ่อยๆ และมีความซับซ้อนมากกว่าการเทรดแบบทั่วไป
ดังนั้นระบบของ Hyperliquid จึงออกแบบมาให้คุณกดยืนยันน้อยที่สุด โดยขั้นตอนแรก แพลตฟอร์มจะให้คุณฝากเงินที่ต้องการลงทุนไว้ในแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นเพียงขั้นตอนเดียวที่ต้องการยืนยันธุรกรรมจากกระเป๋าเงินของคุณ หลังจากนั้นคุณก็สามารถใช้งานฟีเจอร์การเทรดฟิวเจอร์สทุกอย่างได้ โดยไม่ต้องมากดยืนยันจากกระเป๋าเงินให้ยุ่งยากอีกต่อไป
ค่าธรรมเนียมที่แสนถูกและฟีเจอร์เด็ด “แกะรอยเจ้ามือ”
ปัจจัยสำคัญอีกประการที่ทำให้ Hyperliquid ดึงดูดผู้ใช้งานจำนวนมากคือ จุดขายด้านค่าธรรมเนียมบนตลาดฟิวเจอร์สที่ถูกกว่าและพลังของเลเวอเรจ
หากเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมบนตลาดฟิวเจอร์จากกระดานเทรด CEX ชั้นนำส่วนใหญ่จะอยู่ที่ Taker 0.05% และ Maker 0.02% แต่ค่าธรรมเนียมของ Hyperliquid จะอยู่ที่ Taker 0.045% และ Maker 0.015% ซึ่งต่ำกว่าค่าธรรมเนียมของ CEX ถึง 25% ซึ่งถือเป็นแต้มต่อที่สำคัญที่ช่วยดึงดูดนักเทรดให้เข้ามาใช้งาน โดยเฉพาะนักเทรดที่มีปริมาณการซื้อขายสูง
นอกเหนือจากเรื่องค่าธรรมเนียมแล้ว ระบบนิเวศน์ของ Hyperliquid ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่นักลงทุนสาย “แกะรอยเจ้ามือ” จะต้องถูกใจ นั่นคือ Hypurrscan.io
หากคุณเคยเห็นข่าวว่า “เจ้ามือรายนั้นรายนี้ เปิด Position Bitcoin มูลค่ามหาศาล” ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้มาจากไหนไกล เพราะ Hypurrscan.io คือเครื่องมือที่เปิดโอกาสให้คุณเจาะลึกทุกธุรกรรมของเจ้ามือที่เกิดขึ้นบน Hyperliquid
สิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือ Hypurrscan.io ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดย Hyperliquid แต่มันถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลอื่นต่างหาก ซึ่งข้อดีของมันคือ การเป็นเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อส่องดูข้อมูลธุรกรรม และปริมาณการเทรดทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนเครือข่าย Hyperliquid เพื่อให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมเจ้ามือ และใช้ข้อมูลเหล่านี้ประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่างเท่าเทียม
คู่มือลงสนามฉบับจับมือเทรด

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมพร้อมบน Arbitrum ก่อนลุย Hyperliquid
ก่อนจะเริ่มต้นเทรดบน Hyperliquid สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การเตรียมความพร้อมบนเครือข่าย Arbitrum
คุณจะต้องมีกระเป๋าดิจิทัลที่รองรับ EVM (Ethereum Virtual Machine) อย่าง MetaMask จากนั้นโอนสินทรัพย์ของคุณไปยังกระเป๋าที่อยู่บนเชน Arbitrum ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ETH สำหรับเป็นค่าธรรมเนียม และ USDC สำหรับใช้เทรด
เนื่องจาก Hyperliquid ออกแบบมาให้รองรับการฝากเหรียญ USDC ผ่านเครือข่าย Arbitrum โดยตรง คุณจึงสามารถโอน USDC จากกระเป๋าเงินของคุณบน Arbitrum เข้าสู่แพลตฟอร์ม Hyperliquid ได้อย่างง่ายดาย

ขั้นตอนที่สอง : ฝากเงิน USDC เข้า Hyperliquid
จากนั้นให้เข้าเว็บไซต์ Hyperliquid แล้วกดปุ่ม Depost บนเว็บไซต์ และโอน USDC เข้าสู่แพลตฟอร์ม

ขั้นตอนที่สาม : เริ่มเทรดได้
เมื่อเงินทุนพร้อมแล้ว นักลงทุนสามารถเริ่มต้นใช้งานได้ทันที Hyperliquid รองรับคำสั่งซื้อขาย ไม่ว่าจะเป็น “Market Order” ที่จะจับคู่ราคาในตลาดทันที หรือ “Limit Order” ที่ให้ผู้ใช้งานกำหนดราคาที่ต้องการเข้าหรือออกได้เอง
นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่สำคัญอย่างการเลือกใช้ Cross-Margin หรือ Isolated-Margin เพื่อให้นักเทรดสามารถจัดการความเสี่ยงของแต่ละสถานะได้อย่างยืดหยุ่น
ในการทดลองใช้งาน ผู้เขียนได้ลองเปิดโพซิชัน Long Bitcoin ด้วยเงินทุนเพียง 30 ดอลลาร์ แต่ด้วยพลังของเลเวอเรจสูงสุดถึง 40 เท่า ทำให้มูลค่า Position การลงทุนกลายเป็น 1,200 ดอลลาร์ การใช้เลเวอเรจสูงเช่นนี้เป็นการเพิ่มอำนาจการซื้อขายอย่างก้าวกระโดด แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย

ทุกการเคลื่อนไหวของราคาเพียง 1% จะส่งผลกระทบต่อสถานะของเราถึง 40% นั่นหมายความว่า หากราคา Bitcoin ปรับตัวลงเพียง 2.5% สถานะของเราก็อาจถูกล้างพอร์ตได้ทันที
ดังนั้นการลงทุนแบบใช้เลเวอเรจสูง จึงไม่เหมาะกับนักลงทุนทั่วไป แต่เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคหรือการลงทุนระยะสั้น
สรุปประสบการณ์ใช้งานจริง
จากการทดลองใช้งานจริง Hyperliquid ให้ประสบการณ์ที่ไม่ต่างจาก CEX การส่งคำสั่งซื้อขายเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและลื่นไหลแทบจะทันที ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังใช้งาน CEX ระดับโลก ที่สำคัญคือ ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องจ่ายค่า Gas Fee สำหรับทุกการทำธุรกรรม ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญเมื่อเทียบกับการเทรดบน DEX ทั่วไปที่ต้องเสียค่า Gas Fee ทุกครั้งที่ส่งคำสั่ง
ข้อดี
- นวัตกรรมบล็อกเชน: Hyperliquid สร้างบล็อกเชน Layer-1 ที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นของตัวเอง เพื่อรองรับ Order Book แบบ On-Chain เต็มรูปแบบ ทำให้พวกเขาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่สามารถแข่งขันกับ CEX ได้อย่างแท้จริง
- โมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง: ด้วยวอลุ่มเทรดระดับ 4 แสนล้านดอลลาร์/เดือนทำให้โปรเจกต์มีรายได้ที่น่าทึ่ง และมีสภาพคล่องที่สูงจนสามารถรองรับการเทรดของนักลงทุนรายใหญ่ได้
- พลังของคอมมูฯ: แนวทางที่ทำให้ “ผู้ใช้เป็นเจ้าของ” แพลตฟอร์ม และการปฏิเสธ VC ได้สร้างฐานผู้ใช้งานที่เหนียวแน่น ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้ในระยะยาว
ข้อเสีย
- ความเสี่ยงด้าน Validator: ผู้ตรวจสอบเครือข่ายมีจำนวนน้อย ซึ่งถือปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้เครือข่ายมีความเปราะบางต่อการถูกโจมตี และขัดแย้งกับหลักการกระจายอำนาจที่แท้จริง
- เลเวอเรจและจำนวนเหรียญที่รองรับ: ยังคงน้อยกว่าในกระดานเทรดแบบรวมศูนย์ (CEX)
การเดินทางของ Hyperliquid ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงการเป็นผู้นำใน Futures DEX เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างยิ่งในโลกของ DeFi แพลตฟอร์มนี้ไม่ใช่โปรเจกต์อาจไม่ใช่โปรเจกต์ที่สมบูรณ์แบบ แต่มันเป็นโปรเจกต์ที่กล้าที่จะเลือกเส้นทางที่แตกต่างจนได้ชื่อว่า “Binance แห่งโลก DeFi”

