สถานการณ์หนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกาน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ล่าสุดได้พุ่งทะยานผ่านหลักไมล์ที่น่าตกใจอีกครั้ง แตะระดับ 38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้ว ตามข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ตัวเลขหนี้สินก้อนนี้เพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยใช้เวลาเพียงแค่ สองเดือน เท่านั้น หลังจากที่เพิ่งทะลุ 37 ล้านล้านดอลลาร์ไปเมื่อเดือนสิงหาคม ซึ่งมูลนิธิ Peter G. Peterson Foundation ชี้ว่าเป็นอัตราการก่อหนี้ที่รวดเร็วที่สุด หากไม่นับรวมช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19
‘สัญญาณอันตราย’ – นักวิเคราะห์ชี้รัฐบาลล้มเหลวทางการคลัง
ไมเคิล เอ. ปีเตอร์สัน (Michael A. Peterson) ซีอีโอขององค์กรเฝ้าระวังทางการคลัง กล่าวว่า ตัวเลขล่าสุดนี้คือ “สัญญาณอันตรายล่าสุดที่ชี้ว่าฝ่ายนิติบัญญัติกำลังล้มเหลวในการทำหน้าที่พื้นฐานทางการคลัง” “ถ้าคุณรู้สึกว่าหนี้สินของเรากำลังเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่เคย นั่นก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องจริง อัตราที่เรากำลังก่อหนี้อยู่ตอนนี้เร็วกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2000 ถึงสองเท่า” ปีเตอร์สันกล่าว
การวิเคราะห์ชี้ว่า การเร่งตัวของหนี้สินนี้เป็นผลมาจากการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาล, ภาระดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้น และผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการปิดทำการของรัฐบาล (Government Shutdown) ที่ยังคงยืดเยื้อ
ปีเตอร์สันเน้นย้ำว่า ภาระในการแบกรับหนี้สินก้อนนี้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน แค่ค่าดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายก็สูงถึงประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี แล้ว ซึ่งกลายเป็นรายการค่าใช้จ่ายที่เติบโตเร็วที่สุดในงบประมาณแผ่นดิน เขาคาดการณ์ว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า รัฐบาลจะต้องหมดเงินไปกับค่าดอกเบี้ยสูงถึง 14 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเงินจำนวนนี้ “กำลังเข้ามาแย่งชิงงบประมาณที่ควรจะนำไปใช้ลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศ”
Shutdown ซ้ำเติม-ภาระการคลังยิ่งหนัก
การปิดทำการบางส่วนของรัฐบาล ซึ่งขณะนี้เข้าสู่สัปดาห์ที่สามแล้ว กำลังซ้ำเติมปัญหาเหล่านี้ให้หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น การ Shutdown ในอดีตได้สร้างค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้กับรัฐบาลหลายพันล้านดอลลาร์ และในแต่ละวันที่หน่วยงานรัฐต้องหยุดชะงัก ก็ยิ่งเพิ่มต้นทุนระยะสั้น, ทำให้เศรษฐกิจชะงักงัน และทำให้การปฏิรูปงบประมาณล่าช้าออกไป ซึ่งเท่ากับเป็นการซ้ำเติมปัญหาหนี้สินให้เลวร้ายลงไปอีก
ผลกระทบวงกว้าง-ความเชื่อมั่นสั่นคลอน
การต้องจ่ายดอกเบี้ยหนี้มหาศาลนี้กำลังจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วทั้งเศรษฐกิจ รายงานล่าสุดจาก Yale Budget Lab ชี้ว่าหนี้สินที่พุ่งสูงขึ้นกำลังสร้างแรงกดดันต่อทั้งเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง และทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจสูงขึ้นตามไปด้วย
แม้ว่ารายได้จากกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ามาช่วยลดการขาดดุลงบประมาณได้บ้าง แต่นักวิเคราะห์เตือนว่าสุดท้ายแล้วภาระส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ที่ผู้บริโภคและภาคธุรกิจผ่านราคาสินค้าที่สูงขึ้น
สถานการณ์หนี้สินที่ไม่น่าไว้วางใจและความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้ส่งผลให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ทั้งสามแห่งพากันปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ลง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลสูงขึ้นไปอีก และสร้างคำถามถึงสถานะของเงินดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินสำรองของโลกในระยะยาว
“การก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และการบริหารงบประมาณแบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่วิธีที่ชาติที่ยิ่งใหญ่อย่างอเมริกาควรจะทำ” ปีเตอร์สันกล่าว “ฝ่ายนิติบัญญัติควรจะหันมาปฏิรูปอย่างจริงจังเพื่อนำพาประเทศไปสู่เส้นทางที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับอนาคต”
ที่มา: fortune

