โลกการเงินดิจิทัลกลับมาเดือดระอุอีกครั้ง เมื่อโพสต์วิจารณ์สกุลเงิน Bitcoin ได้กลายเป็นชนวนก่อให้เกิดการปะทะทางความคิดครั้งใหญ่บนโลกโซเชียล โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สนับสนุนทองคำและกลุ่มสาวกคริปโทฯ
ต้นตอของวาทะเดือดนี้มาจากโพสต์ของนักวิจารณ์รายหนึ่งที่ระบุว่า “Bitcoin จะคงอยู่ได้ตราบเท่าที่มีอุปทานของ ‘คนโง่’ ที่เชื่อว่าของที่ไม่มีอะไรเลยเป็นของที่มีมูลค่า แต่เมื่ออุปทานนี้หยุดเพิ่มขึ้น ราคา Bitcoin ก็จะดิ่งลง และทำให้ผู้ที่เคยเชื่อมั่นหมดศรัทธา จนนำไปสู่การล่มสลายในที่สุด”
โพสต์ดังกล่าวซึ่งถูกเผยแพร่ในขณะที่ราคา Bitcoin ซื้อขายอยู่ที่ราว $113,000 ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม และกลายเป็นพื้นที่ถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนเกี่ยวกับรากฐานของมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์
สงครามวาทะ: ทองคำ vs. Bitcoin
การวิจารณ์นี้ถูกนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญด้านคริปโทฯ โต้กลับอย่างหนัก โดยมีบุคคลสำคัญและผู้มีอิทธิพลในวงการเข้าร่วมวงอย่างรวดเร็ว:
- CZ (อดีต CEO Binance): ได้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นโดยตอกย้ำถึงประเด็นเรื่อง “ระบบความเชื่อ” โดยระบุว่า “ไม่ต่างจากทองคำและเงินในรูปแบบอื่น ๆ มูลค่าของทองคำไม่ได้มาจากประโยชน์ทางอุตสาหกรรมหรือมูลค่าการใช้งาน แต่มาจากระบบความเชื่อล้วน ๆ”
- กลุ่มผู้สนับสนุน Bitcoin (BTC Maxis): นักลงทุนหลายรายชี้ว่า การโจมตีเรื่องความเชื่อและคำว่า “คนโง่” เป็นวาทกรรมซ้ำซากที่นักวิจารณ์รายนี้เคยใช้มานานกว่าทศวรรษ ตั้งแต่สมัยที่ Bitcoin มีราคาเพียงหลักร้อยถึงหลักพันดอลลาร์ โดยระบุว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาราคา Bitcoin ได้พุ่งทะลุจากเพียง 0.01 เซนต์ไปสู่ $126,000 ในปัจจุบัน ขณะที่ทองคำเพิ่มขึ้นจากประมาณ $2,000 ไปสู่ $4,000 เท่านั้น พร้อมเย้ยหยันให้ “ทำใจซะคุณปู่”
- การเปรียบเทียบกับทองคำ: นักวิเคราะห์อีกรายโต้กลับว่า Bitcoin นั้นมีคุณสมบัติที่ดีกว่าทองคำในฐานะของเงินอย่างชัดเจน โดยเฉพาะด้าน ภาวะเงินฝืด (Deflationary) เนื่องจากอุปทานถูกจำกัดไว้ที่ 21 ล้านเหรียญ ขณะที่ทองคำยังมีการขุดออกมาใหม่ทุกวัน ทำให้ทองคำหมดความจำเป็นในฐานะสินทรัพย์ทางการเงินแล้ว ควรเหลือไว้ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
ความกังวลด้านความยั่งยืนและความเชื่อมั่น
ขณะที่เสียงสนับสนุน Bitcoin มองว่าการเติบโตของผู้ใช้งานในอัตรา 16% ต่อปีจะทำให้จำนวนผู้ใช้สูงถึงพันล้านคนใน 20 ปี และมูลค่าจะทะลุแซงหน้าปริมาณเงินพื้นฐาน (Base Money Supply) ได้ในที่สุด แต่ก็มีเสียงวิจารณ์จากอีกฝ่ายที่มองว่า
นักวิจารณ์บางรายมองว่า Bitcoin เป็น “สินทรัพย์ที่ไม่ยั่งยืนที่สุดในโลก” โดยคาดการณ์ว่า เมื่อเกิดการล่มสลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า เครื่องขุด (Miners) จะหยุดทำงาน เครือข่ายจะล้มเหลว และผู้คนจะมองย้อนกลับมาศึกษาว่ามนุษย์สามารถถูกล้างสมองด้วยอารมณ์ได้ถึงเพียงใด
โดยสรุปแล้ว การถกเถียงครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดทางอุดมคติที่ยังคงมีอยู่ระหว่างผู้ศรัทธาในระบบการเงินแบบดั้งเดิมกับผู้ที่เชื่อในอนาคตของการเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance) แม้ว่า Bitcoin จะพิสูจน์ความอยู่รอดมาได้นานกว่า 15 ปีแล้วก็ตาม
ที่มา: @PeterSchiff

