ท่ามกลางแรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกที่ถาโถมไม่หยุด “คริปโตเคอร์เรนซี” ได้กลายสภาพจากสิ่งที่รัฐบาลรัสเซียเคยเกลียดชัง มาเป็น “เครื่องมือจำเป็น” ที่ช่วยต่อลมหายใจทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ
สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้เข้าร่วมพิธีเปิดสาขาออนไลน์ของ เครือข่ายชำระเงิน A7 ซึ่งไม่ใช่ธนาคารทั่วไป แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านคริปโตฯ ที่มีผู้ถือหุ้นหลักคือ Ilan Shor ออลิการ์ชชาวมอลโดวา และธนาคารทหาร PSB ซึ่งทั้งคู่ล้วนเป็นบุคคลและองค์กรที่ถูกคว่ำบาตรจากตะวันตก
จาก “คิดจะแบน” สู่ “วาระแห่งชาติ”
ย้อนกลับไปช่วงต้นปี 2022 ธนาคารกลางรัสเซียเคยมีท่าทีแข็งกร้าว เรียกร้องให้แบนทั้งการใช้และการขุดคริปโตฯ โดยมองว่าเป็นแชร์ลูกโซ่และภัยความมั่นคง แต่เมื่อสงครามยูเครนปะทุและรัสเซียถูกตัดออกจากระบบการเงินโลก (SWIFT) สถานการณ์จึงบีบให้ต้องเปลี่ยนเกม
ปัจจุบัน รัสเซียเดินหน้าแก้กฎหมายให้การขุดคริปโตฯ เป็นเรื่องถูกกฎหมาย และเปิดทางให้ใช้โทเคนชำระเงินข้ามพรมแดน จนปูตินถึงกับประกาศว่า “นี่คือทิศทางเศรษฐกิจยุคใหม่ที่เราต้องไม่พลาด” เปลี่ยนโลกการเงินรัสเซียเข้าสู่โซนสีเทาที่ไร้การตรวจสอบแบบเดิม
A7 และ A7A5: หัวใจของระบบการชำระเงินใหม่
เครือข่าย A7 อ้างว่าในช่วง 10 เดือนแรกสามารถช่วยธุรกิจรัสเซียชำระเงินระหว่างประเทศไปแล้วกว่า 7.5 ล้านล้านรูเบิล โดยกว่าครึ่งเป็นการค้ากับประเทศในเอเชีย สะท้อนให้เห็นว่าคริปโตฯ ได้กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ในการนำเข้า-ส่งออกของรัสเซียไปแล้ว
กลไกสำคัญคือ “A7A5 Stablecoin” ซึ่งเปิดตัวเมื่อมกราคม 2024 โดยมีเงินรูเบิลและธนาคาร PSB หนุนหลัง เหรียญนี้ถูกซื้อขายบนกระดานเทรด Grinex (แพลตฟอร์มใหม่ที่มาแทน Garantex ที่ถูกสหรัฐฯ สั่งปิด) ข้อมูลชี้ว่า A7A5 มีการใช้งานหนาแน่นเฉพาะวันทำการ ซึ่งยืนยันสถานะว่าเป็นเครื่องมือสำหรับธุรกิจ ไม่ใช่สำหรับการเก็งกำไรรายย่อย
เส้นทางฟอกเงินและการจัดหา “สินค้าต้องห้าม”
กระบวนการหลบเลี่ยงคว่ำบาตรทำได้อย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากการแปลงเงินรูเบิลเป็น A7A5 จากนั้นแปลงต่อเป็น USDT (Stablecoin สากล) เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าให้คู่ค้าต่างประเทศ โดยพบมูลค่าการแปลงเป็น USDT เพื่อใช้งานจริงสูงถึง 3.3 พันล้านดอลลาร์
เป้าหมายหลักของเม็ดเงินเหล่านี้คือการจัดซื้อชิ้นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ เช่น ไมโครชิป ลูกปืนเครื่องจักร และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยมีจีนเป็นคู่ค้าหลัก และใช้ฮ่องกงเป็นฮับในการแลกเปลี่ยนคริปโตฯ กลับมาเป็นเงินสดผ่านร้านแลกเงินนอกระบบจำนวนมาก
สงครามเศรษฐกิจที่ยังไม่จบ
แม้คริปโตฯ จะช่วยให้รัสเซียหายใจได้คล่องขึ้น แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่อง สภาพคล่อง (Liquidity) เพราะมูลค่าตลาด Stablecoin โลกยังเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกน้ำมันและก๊าซมหาศาลของรัสเซีย ทำให้ยังไม่สามารถทดแทนระบบการเงินปกติได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม มาตรการตอบโต้ล่าสุดจากชาติตะวันตกที่พุ่งเป้าไปที่ A7 และ Grinex กลับส่งผลกระทบเพียงระยะสั้น ปริมาณการเทรดลดลงเพียง 15% ก่อนจะดีดกลับสู่ปกติในสัปดาห์เดียว สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า คริปโตเคอร์เรนซีได้กลายเป็นอาวุธถาวรในสงครามเศรษฐกิจที่รัสเซียใช้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดเรียบร้อยแล้ว
ในฝั่งปฏิบัติจริง A7 ได้กลายเป็น หัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์คริปโตใหม่ของรัสเซีย โดยผู้ก่อตั้งอ้างว่า ในช่วง 10 เดือนแรก บริษัทได้ช่วยให้ธุรกิจรัสเซียชำระเงินกับต่างประเทศไปแล้วสูงถึง 7.5 ล้านล้านรูเบิล (ประมาณ 70,000 ล้านปอนด์) ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นการค้ากับประเทศในเอเชีย แม้ตัวเลขจะดูสูง แต่ก็ชัดเจนว่า คริปโตได้กลายเป็นกลไกสำคัญ ในการค้าระหว่างประเทศของรัสเซียไปแล้ว
และในช่วงปี 2024–2025 รัสเซียได้เดินหน้าอย่างจริงจังในด้านคริปโตหลายเรื่อง เช่น การออกกฎหมายให้ “การขุดคริปโต” ถูกกฎหมาย, การเปิดทางให้ทดลองใช้ “โทเคนเพื่อชำระเงินข้ามประเทศ”, ธนาคารของรัฐเริ่มศึกษาการใช้คริปโตในการซื้อขายสินค้า และองค์กรรัฐ Rostec เตรียมออก Stablecoin ที่ peg กับเงินรูเบิล
ซึ่งทั้งหมดนี้สอดคล้องกับการประเมินของ Zach Tvarozna อดีตเจ้าหน้าที่ CIA ที่มองว่า เครือข่ายเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินของรัฐขนาดใหญ่อย่างชัดเจน ทำให้แทบจะถือได้ว่า ได้รับการหนุนจากรัฐบาลโดยตรง
เสาหลักของกลยุทธ์คริปโตใหม่ของรัสเซียคือ A7A5 stablecoin ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนมกราคม 2024 โดยมี เงินรูเบิลจริงค้ำประกัน และหนุนหลังโดยธนาคาร PSB
โดยข้อมูลจาก Chainalysis ระบุว่า A7A5 Stablecoin มีมูลค่าการซื้อขายรวมสูงกว่า 87,000 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่เปิดตัว และมีการใช้งานกันอย่างหนาแน่นในช่วงวันทำการปกติ นี่เป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า A7A5 เป็นเครื่องมือสำหรับธุรกิจ ในการดำเนินงานข้ามพรมแดน ไม่ใช่เพื่อการบริโภคทั่วไป

A7A5 Stablecoin ถูกซื้อขายบนกระดาน Grinex ซึ่งเป็นกระดานใหม่ที่เข้ามาแทนที่ Garantex เนื่องจากเคยถูกทางการสหรัฐฯ สั่งปิดไปก่อนหน้านี้
แม้ A7A5 stablecoin จะไม่ได้ใช้โอนค่าสินค้าโดยตรง แต่ทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ในการแปลงสกุลเงินเพื่อหลีกเลี่ยงระบบธนาคารแบบดั้งเดิม โดยมีกระบวนการคือ แปลงรูเบิลเป็น A7A5 แล้วแปลง A7A5 เป็น USDT (Stablecoin หลัก) จากนั้นใช้ USDT ชำระค่าสินค้าให้คู่ค้าในต่างประเทศ ซึ่งบริษัท Elliptic พบว่า มีมูลค่าประมาณ $3.3 พันล้านดอลลาร์ที่ถูกเปลี่ยนเป็น USDT จริง ๆ เพื่อใช้ในการชำระเงินข้ามพรมแดน

ด้านการนำไปใช้จริง Tom Keatinge จาก RUSI ระบุว่า รัสเซียใช้คริปโตเพื่อซื้อชิ้นส่วนสำคัญสำหรับเครื่องจักรและอุตสาหกรรมทางการทหาร เช่น ไมโครชิป, แบริ่ง (ลูกปืน), และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยคู่ค้าส่วนใหญ่คาดว่า อยู่ในประเทศจีน และมีการทำธุรกรรมผ่านเครือข่ายแลกเงินคริปโตเป็นเงินสดขนาดใหญ่ใน ฮ่องกง
ข้อมูลจาก Crystal Intelligence ระบุว่า มีการพบร้านแลกเปลี่ยนคริปโตเป็นเงินสด “หลายสิบแห่ง” ที่ทำธุรกรรมในระดับ $70,000 ดอลลาร์ต่อครั้ง เป็นประจำ
แม้ว่า คริปโตจะกลายเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้รัสเซียสามารถหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ เนื่องจากสภาพคล่อง (Liquidity) ของตลาด Stablecoin มีขนาดจำกัด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับมูลค่าการค้าขนาดใหญ่ของรัสเซีย
ปัจจุบัน มูลค่ารวมของ USDT (Stablecoin ที่ใหญ่ที่สุด) อยู่ที่ประมาณ $187,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่มูลค่าการส่งออกน้ำมันและก๊าซของรัสเซียในปีนี้มีมูลค่าเกือบ $200,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตลาดคริปโตยังไม่ใหญ่พอ ที่จะรองรับการชำระค่าสินค้าขนาดใหญ่ เช่น น้ำมันและก๊าซได้ทั้งหมด
และเพื่อตอบโต้แนวโน้มนี้ กลุ่มประเทศตะวันตก (EU, สหรัฐฯ, และ UK) ได้เริ่มมาตรการตอบโต้ต่อยุทธศาสตร์คริปโตของรัสเซีย โดยการคว่ำบาตรบริษัท A7 และกระดานเทรด Grinex รวมถึงห้ามชาวยุโรปทำธุรกรรมกับ A7A5 ทั้งทางตรงและทางอ้อม
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นกลับต่ำมาก เนื่องจากปริมาณการเทรดบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ ลดลงไปแค่ 15% ก่อนที่จะเด้งกลับมาเท่าเดิมภายในสัปดาห์เดียว ซึ่งทำให้เห็นชัดว่าเกมนี้ยังอีกยาว และคริปโตได้กลายเป็นอาวุธใหม่ในสงครามเศรษฐกิจที่รัสเซียเลือกใช้เพื่อดิ้นรนเอาตัวรอดจากการคว่ำบาตรที่ไม่รู้จะยุติเมื่อใด
ที่มา : telegraph

