<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

5 เหตุผลที่ไตรมาส 1 ปี 2026 อาจจุดชนวน ตลาดคริปโต ให้เป็นขาขึ้นครั้งใหญ่ที่สุด

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ถ้าย้อนดูประวัติศาสตร์ตลาดคริปโต ทุกครั้งที่ “ขาขึ้นใหญ่” กำลังจะมา มักไม่ใช่เพราะข่าวดีแค่เรื่องเดียว แต่เป็นจังหวะที่หลายปัจจัยค่อย ๆ ต่อกันติดเหมือนโดมิโน และช่วงเวลาที่หลายคนเริ่มจับตาพร้อมกันมากขึ้นก็คือ ไตรมาส 1 ของปี 2026 ที่อาจไม่ใช่แค่การฟื้นตัวธรรมดา แต่อาจเป็นรอบเปลี่ยนเกมของทั้งตลาด

ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเริ่มส่งสัญญาณตรงกันว่า ไตรมาสแรก (Q1) ของปี 2026 อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของตลาดขาขึ้นคริปโตครั้งใหญ่ จากแรงหนุนของปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคหลายด้านที่มาบรรจบกันพอดี

นักวิเคราะห์บางรายถึงขั้นมองว่า หากปัจจัยเหล่านี้เกิดขึ้นจริง ราคา Bitcoin อาจพุ่งไปถึง $300,000 ดอลาร์ – $600,000 ดอลลาร์ได้เลยทีเดียว

ในบทความนี้ทางสยามบล็อกเชนจะพาไปดูกันว่า 5 เหตุผลสำคัญที่ทำให้ ไตรมาส 1 ปี 2026 ถูกมองว่า อาจเป็นชนวนของขาขึ้นครั้งใหญ่ที่สุด จะมีอะไรบ้าง ?

1. Fed ยุติการทำ QT ส่งผลให้แรงกดดันต่อตลาดหายไป

เหตุผลแรกคือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ยุติการทำ Quantitative Tightening (QT) หรือมาตรการดูดสภาพคล่อง ออกจากระบบการเงินที่ดำเนินมาตลอดปี 2025 

ซึ่งในอดีต แค่การ “หยุดดูดเงินออก” จากระบบ ก็ถือเป็นสัญญาณบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง โดยข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ราคา Bitcoin สามารถปรับตัวขึ้นได้ถึง 40% หลัง Fed หยุดลดงบดุล โดยนักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ตลาดจะเริ่มรับรู้ถึงผลดีของการยุติการทำ QT อย่างจริงจัง ในช่วงต้นปี 2026 นี้

2. โอกาสลดดอกเบี้ยกลับมาอีกครั้ง หนุนสินทรัพย์เก็งกำไร

มีความเป็นไปได้สูงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะ ลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งในปี 2026 โดยอ้างอิงจากสัญญาณที่มาจาก Fed เอง หลังจากที่ได้มีการเริ่มลดดอกเบี้ยไปแล้วก่อนหน้านี้ และคาดการณ์ของ Goldman Sachs ชี้ว่า อัตราดอกเบี้ยอาจลดลงมาอยู่ที่ราว 3–3.25% 

การที่อัตราดอกเบี้ยถูกปรับให้อยู่ในระดับต่ำ จะส่งผลให้ ต้นทุนทางการเงินโดยรวมต่ำลง หรือที่เรียกว่า “เงินถูกลง” ซึ่งสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจเช่นนี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่มักจะกระตุ้นและหนุนราคาสินทรัพย์เก็งกำไรที่มีความเสี่ยงสูงอย่าง คริปโต ให้ปรับตัวสูงขึ้นได้อย่างชัดเจน

3. Fed เริ่มซื้อพันธบัตรระยะสั้น อัดฉีดสภาพคล่องช่วยตลาด

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ประกาศว่าจะเริ่ม ซื้อพันธบัตรระยะสั้น (Treasury Bills) เพื่อ “รักษาสภาพคล่องในระบบ” และลดความตึงเครียดในตลาดเงิน 

แม้ว่าประธาน Jerome Powell จะยืนยันว่า การดำเนินการนี้ไม่ใช่การทำ QE (การอัดฉีดเงินครั้งใหญ่) โดยตรง แต่ก็เป็นการตอบสนองต่อปัญหาที่เริ่มปรากฏ เช่น กองทุนตลาดเงินถือเงินสดไว้สูงเกินไป และความตึงตัวในการออกพันธบัตรระยะสั้น การซื้อพันธบัตรครั้งนี้ จึงถือเป็น การเสริมสภาพคล่อง ที่เป็น ปัจจัยเชิงบวก ต่อทั้งตลาดคริปโตและตลาดหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2026

ตารางการดำเนินการซื้อพันธบัตรกระทรวงการคลัง (T-bill) ปกติ ของธนาคารกลางนิวยอร์ก แหล่งที่มา: XWIN Research and Asset Management

4. การเมืองสหรัฐฯ ต้องการ เสถียรภาพ ก่อนเลือกตั้ง

เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งกลางเทอมของ สหรัฐฯ  ในเดือนพฤศจิกายน 2026 ทำให้ฝ่ายนโยบายมีแรงจูงใจสูง ที่จะหลีกเลี่ยงความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาด

ซึ่ง Thorsten Froehlich นักวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ระบุว่า “ถ้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ พัง ก่อนเลือกตั้งกลางเทอม รัฐบาลปัจจุบันจะโดนเต็ม ๆ” ดังนั้น ฝ่ายนโยบายจึงจะพยายามประคองตลาดหุ้น รวมถึงคริปโต ให้ไปต่อให้ได้ 

โดยบรรยากาศทางการเมืองแบบนี้ จะช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่ออกมาอย่างฉับพลัน และเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุนในตลาด

5. ภาวะที่ตลาดแรงงานโดยรวมดูไม่ดีนัก แต่กลับเป็นผลดีต่อคริปโต

ข้อมูลตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนตัวลง เช่น อัตราการจ้างงานที่ชะลอตัวลง หรือมีการเลย์ออฟเล็ก ๆ น้อย ๆ สถานการณ์เช่นนี้ จะไปกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น  ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องทางการเงิน ไหลเข้าสู่ระบบมากขึ้น และตามมาด้วย การที่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโตเคอร์เรนซีจะได้ประโยชน์จากเงินทุนที่ไหลเข้ามา

ด้าน Alice Liu หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ CoinMarketCap ก็คาดการณ์ว่า ตลาดคริปโตจะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ใน กุมภาพันธ์–มีนาคม 2026 โดยกล่าวว่า

“เราจะเห็นการฟื้นตัวของตลาดคริปโตใน ไตรมาส 1 ปี 2026 โดยเฉพาะเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม จากการรวมกันของปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคในหลายด้าน”

ที่มา : beincrypto