Erebor ธนาคารดิจิทัลที่มุ่งเน้นให้บริการกลุ่มสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูง ประสบความสำเร็จในการระดมทุนรอบล่าสุดมูลค่า 350 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.09 หมื่นล้านบาท) ส่งผลให้มูลค่าบริษัทหลังการระดมทุน พุ่งทะยานสู่ 4.35 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.35 แสนล้านบาท) ตามการรายงานของสำนักข่าว Axios
การระดมทุนในครั้งนี้นำโดย Lux Capital พร้อมด้วยกลุ่มทุนชั้นนำระดับโลก อาทิเช่น Founders Fund, Haun Ventures และ 8VC
แรงหนุนสำคัญที่ผลักดันมูลค่าบริษัท Erebor ให้พุ่งทะยานคือ ความคืบหน้าในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ โดยล่าสุดธนาคารได้รับการอนุมัติแบบมีเงื่อนไขเบื้องต้น (Preliminary Conditional Approval) จากสำนักงานควบคุมเงินตราของสหรัฐฯ (OCC) ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญสู่การคว้าใบอนุญาตประกอบจัดตั้งกิจการธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ
นอกจากนี้ บรรษัทประกันเงินฝากรัฐบาลกลาง (FDIC) ยังได้อนุมัติคำขอประกันเงินฝากของ Erebor โดยมีกำหนดระยะเวลา 12 เดือน ภายใต้เงื่อนไขว่าธนาคารต้องดำเนินการจัดตั้งสถาบันการเงินอย่างเป็นทางการภายในกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด
Erebor เปิดตัวในช่วงกลางปี 2025 เพื่ออุดช่องว่างของระบบธนาคารสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นหลังการล่มสลายของ Silicon Valley Bank (SVB) ในปี 2023 ซึ่งเคยเป็นธนาคารหลักของเหล่าสตาร์ทอัพ และบริษัทเทคโนโลยีที่ได้รับเงินทุนจาก Venture Capital
เหตุการณ์ดังกล่าว กลายเป็นบทเรียนสำคัญของภาคการเงิน และเปิดทางให้โมเดลธนาคารรูปแบบใหม่ที่ผสานบริการแบบดั้งเดิมเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานคริปโตเข้ามาแทนที่
ความเคลื่อนไหวของ Erebor ยังเกิดขึ้นในจังหวะเดียวกับที่บริษัทคริปโตรายใหญ่อื่นๆ เช่น Coinbase, Circle และ Ripple Labs เดินหน้ายื่นขอใบอนุญาตธนาคารหรือ National Trust Charters จากหน่วยงาน OCC เช่นเดียวกัน เพื่อขยายบริการรับฝากและชำระดุลสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างถูกกฎหมาย ภายใต้กรอบของธนาคารระดับรัฐบาลกลาง
ทิศทางดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากบรรยากาศด้านกฎระเบียบที่ชัดเจนขึ้นในสหรัฐฯ หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี Donald Trump ซึ่งมาพร้อมความคืบหน้าของกฎหมาย Stablecoin และร่างกฎหมายโครงสร้างตลาดคริปโตที่รอคอยมานาน
ความชัดเจนนี้สอดรับกับความเห็นของ David Sacks ผู้ดูแลนโยบายด้านคริปโตและ AI ของรัฐบาลชุดใหม่ ที่ระบุว่าหน่วยงานกำกับดูแลหลักทั้ง SEC และ CFTC กำลังอยู่ระหว่างการร่างแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งคาดว่าจะช่วยยุติยุคสมัยแห่งการบังคับใช้กฎหมายที่คลุมเครือ และเปลี่ยนผ่านสู่ยุคแห่งการเติบโตภายใต้กรอบกติกาที่เอื้อต่อการนวัตกรรมทางการเงินอย่างแท้จริง
ที่มา:cointelegraph

