Maria Smith อดีตประธานฝ่ายการธุรกรรมของ Starbucks ได้รับปากไว้ว่า Starbucks เองจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นซึ่งได้รับการกำกับดูแล ใช้ได้จริง และเป็นที่ยอมรับ ในการชำระเงินค่ากาแฟด้วย Bitcoin อย่างไรก็ตามความคิดดังกล่าวต้องได้รับการไตรตรองใหม่เนื่องจากปัญหาทางด้านกฎหมายภาษีอากรของสหรัฐอเมริกานั้น ยังไม่มีทีท่าว่าจะเอื้อต่อการดำเนินการดังกล่าวแต่อย่างใด
การยอมรับ Bitcoin การเพิ่มภาระงานอีกมหาศาล
ณ ปัจจุบัน กรมสรรพากรของสหรัฐฯได้พิจารณาถึงตัว Bitcoin และสกุลเงินคริปโตอื่นๆในฐานะทรัพย์สินประเภทหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่มุมด้านภาษีอากรซึ่งทุกๆรายการธุรกรรมซื้อขายของทรัพย์สินนั้น ถือได้ว่ามีการเกิดขึ้นของผลกำไรหรือ Capital gians เสมอ การซื้อขายซึ่งอาศัย Bitcoin เพื่อสินค้าใดๆไม่ว่าจะเป็น เรือยอร์ช รถยนต์หรู หรือจะแค่กาแฟเพียงแก้วเดียว ธุรกรรมต่างๆเหล่านี้ต้องอยู่ภายใต้การกำกับด้านภาษีทั้งหมดในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ประเภททุนอย่างหนึ่งเช่นเดียวกับตราสารหนี้และหุ้น ดังนั้นแล้วการยอมรับ Bitcoin เข้ามายอมหมายถึงฝันร้ายทางด้านงานการจัดทำรายงานและงานเอกสารที่จะเกิดขึ้นตามมาแน่นอน
แม้ว่าฝ่ายสนับสนุนการดำเนินการเช่น CoinCenter ได้ช่วยผลักดันให้มีการปลดพันธะดังกล่าว ความพยายาม Starbucks ได้ดำเนินต่อไปโดยอาศัยความร่วมมือกับ Bakkt ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกรรมทางสกุลเงินคริปโตโดยมีตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯหนุนหลัง
ในเดือนสิงหาคมปีก่อน Bakkt และ Starbucks ได้เข้าทำสัญญาร่วมกันกับ Microsoft และ Boston Consulting Group (BCG) ในการผลักดันให้มีการใช้ Bitcoin ซื้อสินค้าจาก Starbucks การเดินหมากของพวกเขาได้ถูกกล่าวถึงว่าเป็น “ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในการนำคริปโตเข้าสู่กระแสหลัก”
ได้มีการรายงานการพัฒนาซึ่งเปิดเผยโดย The Block Crypto ว่าร้านกาแฟในเครือทั้งหลายต้องมีการยอมรับการจ่ายเงินด้วยคริปโตผ่านบริการของ Bakkt แลกกับมูลค่าหุ้นที่จะได้รับจาก Bakkt ซึ่งบริษัทจะมุ่งเป้าดำเนินธุรกรรมการซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin ณ เวลาที่มีการจ่ายเงินและจะไม่มีการถือคริปโตไว้กับบริษัทแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคทางด้านภาษียังคงขัดขวามความเป็นไปได้ในการดำเนินการดังกล่าวให้เกิดขึ้นจริงได้ ตามที่กรมสรรพากรของสหรัฐฯได้ระบุว่าทุกครั้งที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ มูลค่าทางตลาดของสินทรัพย์ดังกล่าวต้องถูกนำไปเปรียบเทียบกับมูลค่าทางตลาดในเวลาที่มีการคิดคำนวนภาษี ด้วยชื่อเสียงในด้านลบของ Bitcoin ในความผันผวนของมูลค่าซึ่งอาจทำให้มูลค่าทั้งสองนั้นมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นหากราคากาแฟของ starbucks นั้นอยู่ที่ $1.85 ประเมิณราคาเมื่อซื้อเป็น 0.00047 BTC และกรณีจะเปลี่ยนไปหากลูกค้าซื้อกาแฟแก้วเดียวกันในช่วงมกราคมปี 2018 ซึ่งราคาซื้อขาย Bitcoin นั้นสูงถึง $15,000 ทำให้ราคากาแฟนั้นจะตกอยู่ที่แก้วละ 0.000123 BTC เป็นต้น ดังนั้นในช่วงที่มีการยื่นรายงานภาษี ข้อมูลเหล่านี้จะต้องถูกประมวลผล หลังจากนั้นผู้จ่ายภาษีจึงจะเห็นกำไรที่แท้จริงจากการยื่นขอคืนภาษี
แนวคิดที่ตรงกันข้ามนั้นอาจเป็นไปได้จริง หากมูลค่าของ Bitcoin นั้นเพิ่มขึ้นอย่างที่ผู้ใช้เริ่มที่จะสามารถสังเกตเห็นได้แล้วในช่วงนี้
จากโพสในเว็บไซต์ Reddit โดยผู้ใช้ชาวอเมริกันคนหนึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2018 ซึ่งได้กล่าวว่าเค้าได้ค้างชำระภาษีแก่สรรพากรเป็นจำนวน $50,000 หลังจากการซื้อเหรียญ Bitcoin จำนวน 8 BTC ด้วยเงิน $7,200 และขายไปในราคา $120,000 จากนั้นจึงได้นำไปซื้อเหรียญ altcoins โดยเค้าได้กล่าวว่า
“เค้าไม่รู้มาก่อนว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น มันเหมือนว่าเค้าได้ค้างชำระภาษีเงินได้จากการซื้อขายเหรียญเหล่านั้น ซึ่งได้เพิ่มขึ้นมาถึง $50,000 แต่กลับกันในช่วงนี้ที่มีการดิ่งลงของราคาทำให้ altcoins ของเค้ามีมูลค่าเหลือเพียง $30,000 เท่านั้น
แม้ว่าผลลัพธ์เช่นนั้นน่าจะไม่เกิดขึ้นกับราคากาแฟ แต่มันถือได้ว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องใหญ่ในการเก็บภาษีของ Bitcoin ในสหรัฐฯ
กฎเดิมบนธุรกรรมแบบใหม่
กลุ่มผู้สนับสนุนคริปโตชื่อ CoinCenter นั้นได้เล็งเห็นปัญหาในจุดนี้เมื่อกรมสรรพากรได้มีประกาศมาตรการผ่อนผันทางภาษีแก่ Bitcoin ในปี 2014 และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้มีการพิจารณาถึงปัญหาดังกล่าวใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน โดยในเดือนมกราคม ปี 2017 Peter van Valkenburghได้อธิบายถึงความสำเร็จของระบบ Internet ว่าเป็นผลมาจากกฎหมายสองฉบับที่ได้ออกโดยสภาฯของสหรัฐในช่วงยุค 90s คือ the Communications Decency Act (CDA) และ the Digital Millenium Copyright Act (DMCA)
Reminder that if Starbucks does accept bitcoin at some point, you will be required to calculate capital gains on every cup of coffee you buy https://t.co/nMZLGJTfc4 We are trying to change that
— Neeraj K. Agrawal (@NeerajKA) March 5, 2019
ซึ่งในการผ่านร่างกฎหมายทั้งสองนี้ทำให้ประชาชนและเหล่าเจ้าของธุรกิจในสหรัฐฯสามารถร่วมกันสร้างระบบ Internet อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้โดยอาศัยการให้นิยามการปฏิบัติที่ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายหรือ “safe harbors” สำหรับการดำเนินการลองผิดลองถูกต่างๆ
และในอีกโพสจากกลุ่ม CoinCenter ซึ่ง Jerry Brito ได้กล่าวถึงวิธีการที่น่าจะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาด้านภาษีอากรที่เกิดขึ้นกับคริปโต เค้ายังได้กล่าวเสริมว่า ถึงแม้ภาษีซึ่งคิดจากฐานกำไรที่ได้รับสำหรับ bitcoin นั้นจะต่ำกว่าภาษีเงินได้เดิม แต่มันก็มากเกินไปสำหรับการคิดคำนวนบนฐานของการใช้จ่ายในปริมาณที่น้อยมากเช่นการซื้อกาแฟเพียงหนึ่งแก้ว
Brito ได้กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาทางภาษีว่า มาตรการทางภาษีในปัจจุบันนั้นควรจะพิจารณาสกุลเงินคริปโตเสมือนหนึ่งว่าเป็นสกุลเงินระหว่างประเทศมากกว่าการเป็นทรัพย์สิน โดยเค้ายังได้กล่าวถึงมาตรการที่ใช้กับสกุลเงินต่างประเทศเช่น “มาตรการผ่อนผันทางภาษีในผลกำไรจะไม่สามารถใช้ได้กับธุรกรรมที่มีมูลค่าเกิน $200 เพราะผลกำไรจากการซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศจะถูกนำไปคำนวนภาษีเช่นเดียวกับเงินได้ปกติ” ว่ามันจะส่งผลกระทบในทางอ้อมเป็นแรงกฎดันต่อรัฐบาลต่างประเทศเป็นผลให้ Bitcoin ถูกมองว่าเป็นตั๋วเงินที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
ไม่ว่าการที่แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Starbucks เข้าร่วมในอุตสาหกรรมนี้จะสร้างความตื่นเต้นให้กับวงการอย่างไร การเปลี่ยนแปลงต่างๆจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยจนกว่าสมาชิกสภาฯสหรัฐฯจะร่วมกันพัฒนาและเปลี่ยนแปลงมาตรการทางภาษีให้เหมาะสม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่จะเกิดขึ้นจะนำไปสู่การพัฒนาในส่วนอื่นๆอีกมาก เช่นการใช้จ่ายเงินในปริมาณเล็กน้อยโดยอาศัยเงินคริปโต หรือโมเดลการ subscription เป็นต้น สำหรับในตอนนี้ Bakkt นั้นอยู่ในช่วงกอบโกยผลประโยชน์จากการใช้สื่อถูกเวลา
ที่มา: cryotoslate
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น