<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สาเหตุที่ปี 2021 จะเป็นปีที่ยิ่งใหญ่สำหรับ Bitcoin มากกว่าเดิม

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ก่อนปี 2020 จะจบลงราคา Bitcoin ได้ทำประวัติศาสตร์สร้างจุดสูงสุดใหม่เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา หากอ้างอิงจาก TradingView จะพบว่า Bitcoin ได้ทำสถิติราคาสูงสุดใหม่อยู่ที่ระดับประมาณ $19,800 ต่อ 1 BTC หลังจากที่เริ่มมีสถาบันลงทุนเริ่มให้ความสนใจเข้ามาลงทุนกันมากขึ้น 

นอกจากนี้ใน Wall Street ยังมีการพูดถึงสกุลเงินดิจิทัลกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข่าวที่ทาง Facebook เตรียมเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัล Diem จนไปถึงข่าวที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Well Fargo กล่าวไว้ว่าในปีหน้าจะเพิ่มพื้นที่เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลในการประชุมให้มากขึ้น ซึ่งผู้บริหารของ Well Fargo นาย John LaForge ได้กล่าวว่าเวลาได้ผ่านมา 12 ปีแล้วสำหรับตลาดคริปโตที่เริ่มโดยไม่มีมูลค่าและได้เติบโตขึ้นมาจนถึงปัจจุบันซึ่งมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 5.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจและควรนำเข้าที่ประชุมเพื่อมองหาทางเลือกในการลงทุนใหม่ ๆ

นอกจากนี้เขายังได้เปรียบเทียบลักษณะการเติบโตของตลาดคริปโตกับยุคตื่นทอง (Gold Rush) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งผู้คนล้วนต่างเข้ามาให้ความสนใจและลงทุนกันอย่างเหนียวแน่น โดยเขาได้คาดการณ์ว่าการที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Paypal และ Square ได้เริ่มปรับระบบเพื่อให้สามารถรองรับสกุลเงินดิจิทัลได้ในปี 2021 นั้น จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการคริปโตกันเลยทีเดียว

ผู้จัดการใหญ่ บริษัท TradingView นาย Pierce Crosby ได้กล่าวเสริมว่า ปี 2021 จะเป็นปีที่เราจะได้เห็นตลาดการเงินเดิมและตลาดคริปโตพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ตัวอย่างง่าย ๆ จะเป็นเรื่องของการแข่งขันในแง่ผลตอบแทนที่ผู้ซื้ออาจได้ cashback เมื่อทำการซื้อ BTC ผ่าน Square หรืออาจลดราคาสินค้าได้หากใช้สกลุเงินดิจิทัลชำระแทนสกุลเงินปกติผ่าน Paypal เป็นต้น

ซึ่งการเข้ามาของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้จะทำให้การปรับตัวเข้าหาตลาดคริปโตนั้นรวดเร็วยิ่งขึ้น และนั่นจะส่งผลให้ตลาดก็มีแนวโน้มที่จะทำมูลค่าพุ่งสูงมากขึ้น

นอกจากนี้นักวิเคราะห์หลายคนที่คาดการณ์กันว่าระบบของ Ethereum ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บน Decentralized Finance นั้นก็จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะส่งผลให้เทคโนโลยี Blockchain เป็นที่สนใจกันมากขึ้น ซึ่งได้มีการพูดกันถึงว่าในอนาคตอาจสามารถวางระบบการเงินปัจจุบันบนแพลตฟอร์ม Ethereum อีกทีหนึ่งก็เป็นได้

ที่มา: Forbes