ปัจจุบันสกุลเงิน Bitcoin ก็ใกล้อายุครบ 12 ปีกันแล้ว ซึ่งในช่วงต้นเดือนธนวาคม Bitcoin ได้ทำสถิติราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่นับตั้งแต่ครั้งก่อนหน้าเมื่อปี 2017
แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนวันครบรอบ 12 ปีในวันที่ 3 มกราคมที่จะถึงนี้ Forkast.News ได้ทราบมาว่าที่ประเทศสหรัฐอเมริกากำลังมีการเขียนกรอบกฎหมายเพื่อให้รองรับตลาดเงินดิจิทัลโดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) และ หน่วยงานกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสหรัฐฯ (CFTC) ซึ่งจะทำให้ธนาคารและสถาบันการลงทุนสามารถลงทุนใน Bitcoin ได้ อีกทั้ง Paypal ที่กำลังเพิ่มบริการต่าง ๆ เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลอีกด้วย
ซึ่งทาง Forkast.News ได้รวบรวมคำทำนายในปี 2021 เกี่ยวกับตลาดสกุลเงินดิจิทัลไว้ดังนี้
1. จะมีการเก็บภาษีเกี่ยวกับตลาดคริปโตเกิดขึ้น
ปัจจุบันมีผู้ลงทุนรายใหญ่และสถาบันลงทุนจำนวนมากที่ลงทุนอยู่ภายในตลาดสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งเล็งเห็นที่จะทำการถอนเงินออกเพื่อนำไปใช้จ่ายหรือเป็นทุนต่อไป
ซึ่งได้มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้จะได้มีการเปิดให้คำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับภาษี ซึ่งผู้ให้คำปรึกษาด้านภาษีแห่งบริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ PwC นาย Peter Brewin ได้กล่าวว่า ตลาดสกุลเงินดิจิทัลนั้นเป็นอุตสาหกรรมที่ใหม่ และระบบระเบียบของกฎหมายก็กำลังค่อย ๆ พัฒนาตามกันมา ซึ่งเมื่อมีการเริ่มต้นพูดคุย และให้คำปรึกษากันแล้วจะทำให้กรอบกฎหมายที่เหมาะสมสามารถเกิดขึ้นได้ในเวลาต่อมา
ซึ่งปัจจุบันประเทศที่เริ่มมีกฎหมายเกี่ยวกับตลาดสกุลเงินดิจิทัลชัดเจนนั้นได้แก่ ประเทศมัลต้า (Malta), ออสเตรเลีย (Australia), สวิสเซอร์แลนด์ (Switzerland), สิงคโปร์ (Singapore) และฮ่องกง (Hong Kong)
2. การซื้อขายอนุพันธ์เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลกำลังมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
ปัจจุบันนี้บริษัทและแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิตัลต่าง ๆ นั้นแทบจะไม่มีใครติดตามตัวได้ หรือจะเป็น Binance ที่ตั้งอยู่เกาะ Malta หรือ Huobi ที่อยู่บนเกาะ Seychelles ซึ่งทั้งหมดนี้อาจก่อให้เกิดปัญหากับบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากได้ เพราะเหล่านักลงทุนนั้นต้องการทราบว่าเงินที่พวกเขาลงทุนนั้น จะมีใครเป็นผู้รับผิดชอบ โดยเฉพาะช่วงที่นักลงทุนกำลังทะลักเข้ามาในตลาดอนุพันธ์ CME เพื่อเข้ามาซื้ออนุพันธ์ Future ของ Bitcoin
ซึ่งถึงแม้นักกฎหมายยังไม่ได้เพ่งเล็งที่แก้กฎหมายอนุพันธ์สกุลเงินดิจิทัลทั้งหมด แต่ผู้บริหาร CFTC นาย Heath Tarbert ก็ได้กล่าวว่าอย่างน้อยจะต้องมีการเผยแพร่ราคาให้ทราบ รายละเอียดการเข้าซื้อ และการบริหารความเสี่ยงอย่างชัดเจน สำหรับสินทรัพย์สำหรับลงทุนในศตวรรษที่ 21 นี้
แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีประเทศที่ยังมีการห้ามการซื้อขายเมื่อยังไม่มีกฎหมายรองรับขึ้น อาทิเช่นในสหราชอาณาจักร (United Kingdom) ที่ยังเป็นเรื่องที่ห้ามทำการซื้อขายอยู่ ซึ่งแม้ว่านักลงทุนรายย่อยจะสามารถใช้ VPN เพื่อหลีกเลี่ยงการห้ามนั้นได้ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้นักกฎหมายนั้นมองตลาดสกุลเงินดิจิทัลไว้ค่อนข้างแง่ลบ และอาจเป็นสาเหตุที่นักลงทุนสถาบันยังคงหลีกเลี่ยงตลาดสกุลเงินดิจิทัลอยู่ก็เป็นได้
ซึ่งหวังว่าในปี 2021 ทั้ง 2 ฝั่งจะเข้าหากัน ทำให้เกิดกฎหมายและซื้อขายที่โปร่งใสมากยิ่งขึ้น
3. การเติบโตของ Stablecoin
ปัจจุบันเราจะได้เห็น Stablecoin มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะไม่ใช่ภายใต้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเมื่อต้นปีมีมูลค่าตลาดประมาณ 5 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และกำลังจะจบปีนี้ด้วยมูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ว่าการเปิดตัว Diem จะล้มเหลวก็ตาม
แต่แน่นอกการเติบโตขึ้นของตลาด Stablecoin นั้นย่อมตามมาด้วยกรอบกฎหมาย ซึ่งในเบื้องต้นนั้นคาดการณ์ว่าจะต้องมีใบอนุญาตเทียบเท่าการเปิดธนาคารในสหรัฐฯ อยู่ ซึ่งจะกระทบต่อธนาคารระดับรัฐหลาย ๆ แห่งและอาจส่งผลให้การบีบกรอบกฎหมายให้แน่นเพื่อป้องกันการเข้ามาของ Stablecoin ก็เป็นได้
แต่ค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดว่าในปี 2021 จะต้องมีกฎหมายที่ครอบคลุมเกี่ยวกับ Stablecoin เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเข้าสหรัฐฯมากขึ้น แม้ว่ากฎหมายบางฉบับอาจจะจบเพียงบนกระดานก็ตาม
สุดท้ายนี้มั่นใจได้ว่านักลงทุนในสหรัฐฯ จะไม่ปล่อยตลาดมูลค่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ไปอย่างง่าย ๆ แต่มันก็จะไม่มีการลงทุนเกิดขึ้นโดยปราศจากกรอบกฎหมายรองรับอย่างแน่นอน
ที่มา: Forkast.News