ภายหลังจากที่ราคา Bitcoin พุ่งทะลุทำจุดสูงสุดใหม่ของตัวเองในประวัติศาสตร์ได้อีกครั้งแตะที่ระดับ $24,300 ได้สร้างความตื่นตัวไปทั่วทั้งวงการคริปโต ซึ่งในบทความนี้ทางสยามบล็อกเชนจะนำทุกท่านมาสัมผัสถึงมุมมองของผู้ก่อตั้งร่วมเว็บเทรด Bitkub และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Cryptocurrency อย่างแท้จริงกับคุณท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา
คนไทยที่ถือ Bitcoin ยังมีน้อยอยู่
Market Share ของกระดานเทรด Bitkub อยู่ที่ 95% ของตลาดภายในประเทศทั้งหมด โดยสัดส่วนของผู้เปิดบัญชีกับทาง Bitkub มีอยู่ประมาณ 500,000 ราย ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า Bitkub เป็นกระดานเทรดตัวแทนของผู้ที่ถือครอง Bitcoin ของคนไทยเกือบทั้งประเทศ
หากลองเทียบกับจำนวนประชากรภายในประเทศไทยทั้งหมดแล้ว นับเป็นตัวเลขเพียง 0.72% หรือไม่ถึง 1% เท่านั้นสำหรับผู้ที่ถือครอง Bitcoin อยู่ในขณะนี้
“Bitkub ดูแลตลาดอยู่ที่ประมาณ 95% ของ Market Share ซึ่งถือว่าเป็น Representation ของทั้งประเทศได้ดี” คุณท็อปกล่าวถึงส่วนแบ่งตลาดของ Bitkub
อย่างไรก็ตามอัตราส่วนการเติบโตของผู้เปิดบัญชีเพื่อที่จะถือครอง Bitcoin นั้นถือว่ามีอัตราก้าวกระโดดอย่างสูงมากภายในระยะเวลาไม่กี่ปี เมื่อลองเทียบกับจำนวนการเปิดบัญชีหุ้นที่มีอยู่ประมาณ 2 ล้านบัญชี นับเป็น 1 ใน 4 ของจำนวนบัญชีหุ้นที่ในประเทศไทยที่เปิดมาทั้งหมดกว่า 60 ปี
คนไทยอาจถือ Bitcoin เพิ่มมากขึ้นในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
ในอดีตช่วง 8 ปีแรกมีจำนวนผู้เปิดบัญชีกระเป๋าสตางค์ทั่วโลกอยู่ที่ 28 ล้านบัญชี และในอีกสองปีถัดมามีจำนวนเพิ่มขึ้นรวมแล้วกว่า 50 ล้านบัญชี หากตีความง่าย ๆ ของการเติบโตอัตราเท่าเดิมในอีก 10 ปีข้างหน้า ก็จะมีผู้เปิดบัญชีราว 100 ล้านบัญชี
แต่นั่นไม่ใช่อัตราการเติบโตที่แท้จริงของจำนวนผู้เปิดบัญชีเพื่อถือครอง Bitcoin เนื่องจากสถิติที่ผ่านมาในอดีต มีจำนวนผู้เปิดใช้งานบัญชีก้าวกระโดดแบบ “ยกกำลัง” มากขึ้นทุกปี โดยคุณท็อปยังกลาวเสริมว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า หน้าจะมีผู้เปิดบัญชีราว 1000 ล้านบัญชีทั่วโลก
และในประเทศไทยมีผู้เปิดบัญชีราว 5 แสนบัญชี ณ ขณะนี้ หากลองประเมินตามสถิติการเปิดบัญชีกระเป๋าสตางค์ในอดีตแล้ว คุณท็อปคาดการณ์ว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จะมีแนวโน้มการถือครอง Bitcoin ที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน และอาจมีอัตราการเปิดบัญชีพุ่งสูงถึง 5 ล้านบัญชี
มูลค่าที่แท้จริงอยู่ตรงไหน
คุณท็อปมองว่าตอนนี้ Bitcoin เป็น Safe Haven Asset อันเนื่องมากจากการพิมพ์เงินดอลลาร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่จำกัด ทำให้ Purchasing power ของค่าเงินดอลลาร์ลดน้อยลงทุกปี
อีกทั้งความเชื่อมั่นจากการที่นักลงทุนสถาบันระดับโลกเช่น Grayscale, Square หรือ MicroStrategy ที่เข้าซื้อ Bitcoin และยังเป็นเทรนด์ที่สามารถชักจูงให้บริษัทแนวหน้าระดับโลกเข้าซื้อตาม มีส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้คนอยากจะซื้อ Bitcoin ไว้ในครอบครอง
ในเรื่องของมูลค่าที่แท้จริงของ Bitcoin คุณท็อปได้กล่าวว่า “มูลค่าของมันขึ้นอยู่กับ Network effect ของผู้ใช้งาน”
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ เช่น หากคุณท็อปเป็นคนเดียวในประเทศที่ใช้แอปพลิเคชัน WeChat แต่คนไทยทั้งประเทศใช้แอปพลิเคชัน LINE ในการสื่อสาร WeChat จะไม่มีประโยชน์สำหรับคุณท็อปเลยและมูลค่าของมันก็แทบจะไม่มีเนื่องจากไม่สามารถใช้สื่อสารกับใครได้ ดังนั้นมูลค่าของมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับซอฟท์แวร์ หากแต่ขึ้นอยู่กับ Network หรือจำนวนของผู้ใช้งาน
ซื้อตอนนี้ได้เปรียบกว่าคนที่จะซื้อในอีก 5 ปีข้างหน้า?
คุณท็อปได้กล่าวว่า “มูลค่าของมันอยู่ที่ Network ถ้าหากในช่วง 5 ปีข้างหน้ามีผู้ต้องการใช้งานมากขึ้น แต่อุปทานจำกัดของ Bitcoin มีอยู่เท่าเดิมที่ 21 ล้านเหรียญ ราคามีแต่จะสูงขึ้นตามหลักเศรษฐศาสตร์”
นั่นหมายความว่าคนที่ซื้อ Bitcoin ในตอนนี้ย่อมดีกว่าคนที่ซื้อในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งการที่ Bitcoin นั้นเป็นผู้นำในเรื่องของ Network ที่ใหญ่ที่สุดในการโอนรับมูลค่า จำนวน Computing power และจำนวน Node มากที่สุด
หากปัจจัยเหล่านี้ยังดำเนินไปเรื่อย ๆ จะส่งผลให้มีผู้ใช้งาน Bitcoin มากขึ้น และอาจกล่าวได้ว่าผู้ที่ซื้อ Bitcoin ใน 5 ปีให้หลังคงต้องซื้อในราคาที่แพงเอามาก ๆ
คิดว่าราคา BTC ในอนาคตจะพุ่งไปถึงเท่าไหร่
“ผมมองว่าจะไปอีกได้ไกลเลยครับ เกินล้านแน่นอน” คุณท็อปตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
ซึ่งทางทีมงานสยามบล็อกเชนได้ถามต่อว่า “ล้านบาท” หรือ “ล้านดอลลาร์” คุณท็อปได้กล่าวเสริมว่า
“มันขึ้นอยู่กับช่วงเวลา ถ้าพูดถึงล้านดอลลาร์ในปีหน้าก็อาจจะเวอร์ไป ซึ่งต้องย้อนกลับไปดู Pattern เก่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาที่จะเกิด Bitcoin Halving ในทุก ๆ 4 ปีด้วยว่ามันจะไปในทิศทางนั้นไหม โดย Pattern นี้ได้เกิดขึ้นไปแล้ว 2 รอบ ถ้ารอบที่ 3 เป็นเหมือนสองรอบแรก ราคา Bitcoin มันอาจจะเกินหนึ่งล้านบาทแน่นอน”
หลังจากที่ราคา Bitcoin ได้ทำ All Time High บนกระดานเทรด Bitkub คุณท็อปกล่าวว่าเขามีความเชื่อมั่นในตัว Bitcoin เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดว่าเป็นช่วงเวลาของเงินทุนสถาบันที่ไหลเข้ามายังตลาด Bitcoin มีการยอมรับในระดับสถาบันที่กว้างขวางขึ้น เมื่อเม็ดเงินไหลเข้ามาจึงไม่น่าแปลกใจที่ราคาพุ่งทะลุ 720,000 บาท และมองว่าปีหน้าจะเป็นปีทองของมัน
สุดท้ายอยากฝากอะไรถึงผู้ที่สนใจในวงการ Cryptocurrency และกำลังจะเข้ามาถือครอง Bitcoin
คุณท็อปได้ฝากถึงนักลงทุนไว้ 2 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรกคือ “อันตรายและความปลอดภัย” ในการเก็บทรัพย์สินดิจิทัลหรือแม้กระทั่งการถูกหลอกจากเว็บกระดานเทรดต่างชาติ เนื่องจากมีนักลงทุนไทยหลายท่านที่ใช้งาน Exchange ของต่างประเทศ หรือเก็บเงินไว้กับ Wallet ที่ไม่ใช่ของ Bitkub แล้วส่งข้อความขอความช่วยเหลือคุณท็อป โดยทางคุณท็อปรู้สึกเห็นใจและเป็นห่วงอย่างยิ่ง
“ระวังครับ ผมเห็นหลาย ๆ คนส่งข้อความมาให้ผมช่วย ผมอ่านแล้วปวดใจมากเพราะเป็นเงินเก็บของเขา” หนึ่งในคำพูดที่คุณท็อปแสดงความห่วงใยต่อนักลงทุนชาวไทยที่ถูกหลอกจากการใช้งานบนเว็บไซต์ต่างประเทศ
โดยคุณท็อปได้แนะนำให้ใช้บริการที่ Bitkub ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง มีระบบที่สามารถตรวจสอบได้ มีผู้กำกับอย่างก.ล.ต. ผู้กำกับเดียวกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เรื่องที่สองนั้นก็คือ “อย่าใช้เงินร้อน” เนื่องจากกระแสอันโด่งดังของราคา Bitcoin ที่ทะลุ 720,000 บาทบนกระดานเทรด Bitkub อาจทำให้นักลงทุนหน้าใหม่แห่เข้ามายังตลาดแห่งนี้โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
คุณท็อปยังกล่าวติดตลกอีกด้วยว่า “สถิติ 2 Wave หลังการ Halving ที่ผ่านมา มันเป็นแค่สถิติเฉย ๆ ถ้าผมรู้ความจริงผมคงขาย Bitkub ขายทุกอย่างแล้วไปซื้อ Bitcoin เหมือนกัน มันบอกไม่ได้ 100% ดังนั้นห้ามใช้เงินร้อนเด็ดขาด เป็นเงินเย็นที่เสียได้จะดีกว่า”
สุดท้ายแล้วไม่ว่าราคา Bitcoin จะเป็นไปในทิศทางใด ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ากระแสในปัจจุบันเริ่มมีการกล่าวถึงกันอย่างกว้างขวาง และผู้ที่นำวงการนี้เข้ามาสู่ในไทยยุคแรกเริ่มคงไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือคุณท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา