เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา สำนักงานผู้ควบคุมเงินตรา (OCC) หน่วยงานภายใต้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่มีอำนาจหน้าที่ในการออกกฎหมายเกี่ยวกับธนาคารและเงินตรา ได้ออกเอกสารแจ้งว่าสามารถใช้ Blockchain และ Stablecoin ในการชำระเงินที่ธนาคารแห่งชาติได้แล้ว
ซึ่งนักลงทุนหลาย ๆ คนได้ออกมากล่าวว่านี่เป็นข่าวดีสำหรับตลาดคริปโต รวมถึงบริษัท Circle และ Coinbase ที่รับผิดชอบสกุลเงิน USDC ซึ่งเป็นสกุลเงิน Stablecoin ที่มีมูลค่าเป็นอันดับที่ 2 ในปัจจุบัน
CEO บริษัท Circle นาย Jeremy ยังได้ออกมากล่าวอีกว่า “จากการชี้แจงดังกล่าว ทำให้ธนาคารสามารถเทียบระบบ Blockchain เอกชนต่าง ๆ ได้เหมือนกับ บริษัทให้บริการด้านการเงินทั่วไป ดังเช่น SWIFT, ACH, FedWire และ Stablecoin อย่าง USDC ให้มีมูลค่าของทรัพย์สินดิจิทัลที่จับต้องได้ขึ้นมา ซึ่งความสำเร็จนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก”
แต่เรื่องของกฎหมายนี้ซับซ้อนกว่าที่ทุกคนได้คาดคิดไว้ ผู้เชี่ยวชาญจาก Wall Street ที่ช่วยร่างกฎหมายเกี่ยวกับสกุลเงินคริปโตในรัฐ Wyoming นาง Caitlin Long ให้ความเห็นกับทางสำนักข่าว Decypto ว่า “กฎหมายจาก OCC ฉบับนี้จะเป็นดาบสองคม”
โดยเธอให้ความเห็นไว้ว่า เอกสารดังกล่าวทำให้ธนาคารขนาดใหญ่สามารถเข้าทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตได้ในทันที โดยไม่ต้องรอกฎหมายผ่านรัฐบาลกลาง
“แต่ธนาคารขนาดเล็กและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมคริปโตจะต้องทำการยื่นขอ Bank Charter ก่อนจึงจะเริ่มทำธุรกรรมได้ต่างจากกับธนาคารขนาดใหญ่ที่มี Bank Charter อยู่ตั้งแต่แรก ซึ่งระบบนี้จะสร้างแต้มต่อให้กับธนาคารขนาดใหญ่ โดยในวันพรุ่งนี้เราอาจจะได้เห็นธนาคารขนาดใหญ่เข้าสู่ตลาด และสร้างระบบเครือข่ายที่รวดเร็วก่อนที่ธนาคารขนาดเล็ก และบริษัทคริปโตจะสามารถเริ่มทำอะไรได้เสียอีก”
ซึ่งอาจเป็นการกระทำทางกฎหมายที่เอื้อให้แก่บริษัทนายทุน โดยเฉพาะเมื่อนาย Brian Books ได้ถูกโยกย้ายจากหัวหน้าฝ่ายกฎหมายบริษัท CoinBase ไปเป็นนักกฎหมายในสังกัดของ OCC
ผู้ช่วยร่างกฎหมาย STABLE Act นาย Rohan Grey ได้กล่าวว่าข้อดีจากกฎหมายดังกล่าวทำให้ผู้ต้องการออกเหรียญ Stablecoin ต้องมีใบอนุญาตในการทำธนาคารซึ่งสิ่งนี้ควรจะมีกฎหมายดูแลและควบคุมอย่างเข้มงวด ซึ่งในขณะเดียวกันเขาก็ไม่คิดว่า การเปิดให้ทำการใช้จ่ายหรือใช้บริการเงินฝากผ่าน Blockchain เอกชน และการที่ให้ผู้อื่นสามารถออกเหรียญ Stablecoin ได้นั้นเป็นการเรื่องที่ปลอดภัยเสียเท่าไร
นาง Long ยังได้กล่าวด้วยว่า ธนาคารก็อาจเจอปัญหาบนเส้นทางนี้ได้ “ยกตัวอย่างเช่น โดยทั่วไปแล้วธนาคารจะต้องได้รับการเปิดเผยเรื่องค่าธรรมเนียมการใช้บริการจากผู้ที่จะทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องด้วย แต่กระเป๋าเงินดิจิทัลในรูปแบบของ ERC-20 นั้นไม่สามารถทำได้ และจะเป็นช่องโหว่ให้นักกฎหมายเล่นงานเอาได้ โดยเฉพาะสำหรับบริษัทคริปโตดั้งเดิมที่ได้ทำการออกเหรียญ Stablecoin และไม่สามารถปฏิบัติตามกฎเหล่านี้ได้”
ซึ่งจากทั้งหมดนี้นี้ทำให้บางบริษัทอาจจะมีตำแหน่งในการทำธุรกิจที่ดีกว่าผู้อื่นเช่น บริษัท Circle ซึ่งนาย Grey ได้ให้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “บริษัท Circle จะได้ประโยชน์จากข้อกกฎหมายนี้มาก โดยเฉพาะในส่วนที่สามารถเข้ากับระบบของการธนาคารยุคดั้งเดิมได้ และจะทำให้แซงหน้าคู่แข่ง Stablecoin เจ้าอื่น ๆ ไปได้อย่างแน่นอน”
ที่มา: beincrypto.com