จากเหตุการณ์การทำ ATH ช็อควงการคริปโตไทยของราคาเหรียญ DAI ทะลุ 500 บาท บนกระดานเทรด Bitkub และพุ่งไปกว่า 6,000 บาทบนกระดานเทรด Satang Pro เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 18 เมษายน ตามที่ทาง Siam Blockchain ได้รายงานไปเมื่อเช้านี้ ทำให้เกิดประเด็นพูดคุยกันอย่างมากมายบนโซเชียลมีเดีย
โดยสิ่งที่น่าตกใจก็คือเหรียญดังกล่าวเป็นเหรียญ “Stablecoin” ซึ่งเหรียญนี้จะมีมูลค่าคงที่หรือมีความผันผวนน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินดิจิทัลตัวอื่น อย่างไรก็ตามทำให้เกิดเป็นกรณีศึกษาและการย้ำเตือนถึงมือใหม่ในการลงทุนบนโลกของคริปโต
ในบทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมือใหม่ในตลาดว่า Stablecoin คืออะไร? ทำไมนักลงทุนถึงควรรู้จักก่อนการเทรดคริปโต แล้วการเก็งกำไรในเหรียญ Stablecoin เป็นสิ่งที่ควรแล้วหรือ?
แม้ว่าหลายคนจะทราบกันดีแล้ว แต่ยังคงต้องมีการเน้นย้ำถึงข้อควรรู้ไม่ว่าจะทั้งมือเก่าและมือใหม่เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นหากนักลงทุนมีความรู้ที่มากพอ
ทำความรู้จักกับ Stablecoin ในโลกของคริปโต
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่าในตลาดคริปโตนั้นมีสกุลเงินดิจิทัลมากมายหลายประเภทขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและการใช้งานที่ทางผู้พัฒนาได้สร้างขึ้น ซึ่งประเภทหลัก ๆ ที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดีจะได้แก่ Altcoin, Privacy Coin, CBDCs, Exchange Coin, Governance Tokens และ Stablecoin เป็นต้น
ประเภทของเหรียญอื่น ๆ นั้นสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้บนอินเทอร์เน็ตหรือบทความในอนาคต
ซึ่ง Stablecoin คือ Cryptocurrency ประเภทหนึ่งที่มูลค่าของมันถูกตรึง (Pegged) ไว้กับสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำในอัตรา 1:1 เช่น ทองคำ น้ำมัน หรือค่าเงินดอลลาร์
โดย Stablecoin ที่นิยมใช้กันได้แก่ Tether (USDT), USD Coin (USDC), Binance USD (BUSD), Paxos Standard (PAX), TrueUSD (TUSD) และ Dai (DAI)
ส่วนใหญ่ที่ถูกใช้ในโลกของคริปโตนั้นมูลค่าของมันจะถูกตรึงกับ “ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ” แบบ 1:1 นั่นหมายความว่ามูลค่าของมันจะ “คงที่” หรือ “มีความผันผวนน้อยมาก”
ตัวอย่างเช่น หากต้องการซื้อ 1 USDT จะต้องใช้เงินมูลค่าที่ถูกเทียบเคียง 1 USD ในการซื้อ ซึ่งแปลงเป็นเงินไทยแล้วอาจจะอยู่ที่ราว ๆ 30-33 บาท ขึ้นอยู่กับความผันผวนของสภาพตลาด ณ เวลานั้น
หน้าที่ของ Stablecoin ที่ไม่ได้มีไว้ดอย
หน้าที่หลัก ๆ คือการรักษามูลค่าของเงินที่เราฝากไว้ เนื่องจากปกติเว็บเทรดคริปโตจะไม่มีคู่เทรดสำหรับเงิน Fiat ทำให้เวลาที่นักลงทุนอยากรักษามูลค่าของเหรียญไว้ จำเป็นต้องเลือกแลกเป็นคริปโตที่มีความผันผวนน้อยที่สุด ซึ่งในตลาดคริปโตแล้วเป็นไปได้ยากมาก เลยมีเหรียญ USDT ถือกำเนิดขึ้นมาแทนที่เงินดอลลาร์
เมื่อนักลงทุนอยากถือเงินดอลลาร์ไว้เฉย ๆ ในเว็บเทรดที่ไม่มีคู่เงิน Fiat พวกเขาแค่ทำการแลกคริปโตเป็น USDT หรือ Stablecoin อื่น ๆ เช่น BUSD, USDC, DAI, PAX เป็นต้น
ทำให้พวกเขาสามารถลดความเสี่ยงของการผันผวนในตลาดได้ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ในเวลาที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อคริปโตตัวไหนดี หรือเป็นที่พักเงินในกรณีที่นักลงทุนคาดว่าตลาดจะเข้าสู่ขาลงเลยทำการขายและถือเป็น Stablecoin ไว้ก่อน
และด้วยความที่มันมีความผันผวนน้อย (Stable) ทำให้เวลาโอนมีความเสี่ยงในเรื่องของมูลค่าที่ลดลงน้อยมาก อย่างไรก็ตามควรต้องดูจังหวะและเวลาให้ดี
ทำไมถึงไม่ควรเก็งกำไรใน Stablecoin
เหรียญ Stablecoin ถูกออกแบบมาให้เป็นสกุลเงินกลางในการเทรด โดยจะมีมูลค่าคงที่หรือมีความผันผวนน้อยมาก ทำให้เมื่อเรานำเงินไปซื้อ Stablecoin อย่าง USDT, BUSD หรือ DAI แล้ว ส่วนต่างของราคาที่จะทำกำไรได้จะน้อยมากจนอาจจะไม่คุ้มกับค่า Fee ในการเทรด
Stablecoin จึงเหมาะสำหรับการเป็นที่พักเงินในช่วงที่สภาพตลาดมีความผันผวนอย่างรุนแรง จากสถิติที่ผ่านมาเมื่อราคา BTC ร่วงลงอย่างรุนแรง จะทำให้ราคาในเหรียญ Stablecoin เช่น USDT, BUSD หรือ DAI สูงขึ้น และเมื่อราคา BTC พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงจะทำให้ราคาเหรียญ Stablecoin เหล่านั้นร่วงลง
ด้วยความที่มัน Stable จึงทำให้ไม่เหมาะกับการเก็งกำไรด้วยการเทรดเพราะว่าอาจจะเสียโอกาสในการทำกำไรกับเหรียญอื่น ๆ ถ้าจะทำกำไรควรใช้วิธีการทำ Arbitrage ระหว่างกระดานเทรด
จากบทเรียนตัวอย่างของเหตุการณ์ “ดอยทองคำ” เหรียญ DAI เมื่อวานนี้บนกระดานเทรด Bitkub และ Satang Pro ทำให้มีผู้คนจำนวนมากเสียเงินไปกับการ “ไม่รู้” โดยเริ่มไล่ราคากันตั้งแต่ 40 บาท จนกระทั่งสูงสุดที่ 6,000 ในระยะเวลาเพียงไม่กี่นาที หลังจากนั้นจึงร่วงกลับลงมาในราคาเดิมที่บริเวณ 33 บาท
ซึ่งหากเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์และความรู้ จะพอทราบว่าราคาได้ผิดปกติไปมากจากที่ควรจะเป็น บ่งบอกถึงสัญญาณอันตรายในการเข้าซื้อ แน่นอนว่าผู้ที่ขายอาจจะทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ผู้ที่เข้าซื้อต้องติดอยู่บนดอยทองคำที่อาจไม่มีวันกลับลงมา