<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

กูรูอสังหาฯ ชื่อดังในไทยคาด Bitcoin เติบโตได้อีกมากแม้จะอยู่ในช่วงปรับฐานราคา

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมายังถือว่าเป็นที่หนักอกหนักใจสำหรับนักเทรดคริปโตในช่วงนี้ หลังจากการร่วงลงของราคา Bitcoin ครั้งรุนแรงที่สุดในปีนี้กว่า 50% ส่งผลให้มูลค่าตลาดโดยรวมสกุลเงินดิจิทัลเหลืออยู่เพียง 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตามก็ยังมีมูลค่าสูงกว่าเมื่อช่วงต้นปีที่ระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์

ในวันนี้ทาง Siam Blockchain ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาฯ ชื่อดังในไทย ที่ผันตัวกระโดดเข้าสู่โลกของเทคโนโลยีบล็อกเชนและตลาดคริปโตเคอร์เรนซีอย่างเต็มตัวกับ “คุณคิม” หรือ Kim Property Live ที่มียอดผู้ติดตามบนช่อง Youtube กว่า 6.6 แสนคน

Fundamental เปลี่ยนไปเมื่อประเทศชั้นนำกลายมาเป็นผู้ถือครอง Bitcoin 

คุณคิมได้กล่าวถึงตลาดคริปโตในช่วงนี้เป็นเหมือนการปรับฐานที่ขึ้นมาอย่างรุนแรงตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาด้วยข่าวการเข้าซื้อ Bitcoin ของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก 

“จริง ๆ ตลาด Bitcoin เป็นตลาดที่มีการเก็งกำไรค่อนข้างสูง ก่อนหน้านี้มีการประโคมข่าวมากมายของ Tesla และ MicroStrategy ซึ่งตลาดก็เติบโตมาอย่างรุนแรง เพราะฉะนั้นการเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่นั้นถือเป็นเรื่องปกติ ผมว่าสายคริปโตน่าจะคุ้นชินและก็เฉย ๆ ไปแล้ว”

ซึ่งสถานการณ์ตลาดในช่วงนี้ทำให้คุณคิมเสริมอีกว่ามีปัจจัย 2 ประการที่ทำให้ตลาดดูไม่ค่อยสู้ดี นั่นก็คือการหลุด Low ทางเทคนิคของราคา พร้อมกับเป็นช่วงที่ข่าวร้าย หรือ FUD ค่อนข้างเยอะ ส่งผลให้ตลาดจะมีความกลัวและการเทขายค่อนข้างเยอะเช่นเดียวกัน อย่างเช่น ข่าว FBI เข้าถึง Private Key ของแฮ็กเกอร์ที่คุณคิมมองว่ามีผลกระทบมากที่สุดข่าวหนึ่ง 

ขณะที่อีกมุมหนึ่งคุณคิมมองว่ามีตัวเลขการเก็บของของนักลงทุนระยะยาวมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมไปถึงระดับประเทศ

“การเก็บ Bitcoin เป็น Reserve ของประเทศเอลซัลวาดอร์ พวกนี้เป็นข่าวดีที่จะเปลี่ยน Fundamental ของ Bitcoin ไปเลย แต่ว่าเรากลับเทขายด้วยความกลัว ด้วยข่าว FUD” คุณคิมกล่าว

และนี่จะเป็นผลดีที่ทำให้อีกหลายประเทศหันมาสนใจในการถือ Bitcoin เป็นทุนสำรองของประเทศ เช่น ปารากวัยบราซิล อาร์เจนตินา เม็กซิโก เป็นต้น ดังตัวอย่างการเข้ามาของบริษัท Tesla ที่เบิกทางให้บริษัทมหาชนทั่วโลกเดินตามในการถือครองสกุลเงินดิจิทัล

“ถ้าวันนึงหลาย ๆ ประเทศเริ่มเข้ามา แล้วเงินเขามันใหญ่ ผมไม่รู้ว่า Bitcoin จะมีเพียงพอให้ซื้อด้วยรึเปล่า”

มูลค่าตลาดคริปโตยังเล็กมากเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น

เมื่อพูดถึงงบประมาณ 6 ล้านล้านดอลลาร์ของประเทศสหรัฐฯ ในปี 2022 ที่มีการประกาศออกมาเตรียมเสนอเข้าสภา คุณคิมมองว่า “Bitcoin มันมีเรื่องของการเก็งกำไรและขนาดมันค่อนข้างเล็ก จึงทำให้บางครั้งมันไม่ได้ล้อไปกับตัวเลขซะเดียว มันอาจจะผันผวนไปตามการเก็งกำไรซะมากกว่า

แต่ผมว่ามันได้ประโยชน์อยู่แล้วแหละ เมื่อเงินมันเยอะขึ้นมันต้องมีที่ไปสักที่หนึ่ง”

“เราอาจจะไม่ได้บอกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์มันจะเข้ามา Bitcoin โดยตรง แต่ถ้าจะให้พูดก็คือเงินมันเสื่อมค่าอยู่แล้ว ซึ่งมูลค่าตลาด Bitcoin หกแสนล้านถือว่าเล็กมาก ”

คุณคิมเล่าต่อว่าการอัดฉีดงบประมาณของประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่องนั้นถ้าไม่สามารถกระตุ้นอัตราดอกเบี้ยให้ฟื้นคืนได้ อาจทำให้ค่าเงินอ่อน แล้วเมื่อค่าเงินอ่อนเม็ดเงินอาจจะไหลเข้าไปสู้สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ แร่ ซิลเวอร์ หรือ บิทคอยน์ เป็นต้น

“อัตราดอกเบี้ยและการเสื่อมค่ามันเร็วขึ้น เขาอาจจะมองว่า Bitcoin อาจจะเป็นหนึ่งในทรัพย์สินทางเลือกที่คนและเม็ดเงินจะเข้ามา ด้วยขนาดที่มันเล็กมากเมื่อเทียบกับเม็ดเงินใหญ่พวกนี้”

จุดจบของการเก็งกำไรและจุดเริ่มต้นใหม่ของทุนสำรองระดับประเทศ

“ผมว่าการเก็งกำไรน่าจะหายไปเยอะ เพราะว่าดูการ Liquidated ต่าง ๆ น่าจะเสียหายกันไปเยอะ แต่ผมว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นในการใช้ Bitcoin ในสิ่งที่ควรจะเป็นมากกว่า อย่างเช่นเป็นทุนสำรอง (Reserve) หรือถูกใช้ในประเทศที่จำเป็นจริง ๆ เช่น เอซัลวาดอร์ อาร์เจนตินา บราซิล เป็นการเติบโตที่ยั่งยืนมากกว่า” 

คุณคิมกล่าวหลังจากการประกาศของประเทศเอลซัลวาดอร์ให้ Bitcoin เป็นสกุลเงินถูกต้องตามกฎหมาย

นอกจากนี้คุณคิมมองว่า Bitcoin มันจะแข็งแรงกว่าเดิมหลังจากการปรับฐานเพราะ Fundamental เรื่องของประเทศที่เปลี่ยนไป อีกทั้งจะเป็นการกดดันสหรัฐฯ เพราะเนื่องจากประเทศคู่ค้าหรือประเทศที่ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ต้องการปรับตัวจากค่าเงินที่เสื่อมลงทุกวันจากการพิมพ์เงิน

ทิศทาง Defi จะเป็นไปตามตลาด Bitcoin หรือไม่?

คุณคิมกล่าวว่า “ถ้าตลาด Bitcoin ลง Defi ก็อาจจะซบเซาเช่นเดียวกัน เนื่องจาก Bitcoin เปรียบเสมือนทองคำบนโลกคริปโต”

“ผมคิดว่าถ้า Bitcoin ไม่หาย ยังไง Defi ก็ไม่หาย แถม Defi ยังพยุงตลาดได้มากขึ้นเพราะว่ามันทำให้เกิดการฟาร์มได้ การปล่อยกู้ได้ เพราะเมื่อก่อนในปี 2017 มันก็ทำได้แค่ถืออย่างเดียว”

ในอนาคตหากมีการ Cross Chain กันได้ คุณคิมมองว่ามันจะเติบโตได้อีกมาก อีกทั้งการมาของ Layer 2 ที่คาดว่าจะมาในสิ้นปีนี้ซึ่งเปรียบเหมือนอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแต่ต้นทุนต่ำ อาจทำให้เกิดการใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ยิ่งส่งผลดีต่อตลาดคริปโต

ปัจจุบันมีการเปรียบเทียบสถานการณ์ของ ICO กับ Defi คุณคิมกล่าวว่า “ผมคิดว่า ICO ในปี 2017 มันก็มีคนที่ตายกว่า 90% แต่โปรเจกต์ดี ๆ มันก็มีและก็ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับ Defi ก็มีบางแพลตฟอร์มที่เป็น Scam บ้าง Rug Pull บ้าง เพราะมันไม่มี Regulator คอยดูแล ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์”