อาจเป็นที่กล่าวได้ว่าอัตราการใช้งาน Bitcoin และ cryptocurrency ในประเทศไทยนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากในช่วงตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ โดยก่อนหน้านี้มีเพียงแค่ไม่กี่พันคนเท่านั้นที่รู้จักและใช้งานมันอย่างจริงจัง ซึ่งอ้างอิงจากจำนวนสมาชิกกลุ่ม Bitcoin Thai Club ที่ใช้เป็นตัววัดค่าเฉลี่ยของผู้ใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าวในประเทศไทยที่ก่อนหน้านี้มีแค่ราวๆ 5,000-6,000 คนเมื่อปี 2014 จนในขณะนี้มีจำนวนมากถึงราวๆ 61,000 คน
นอกจากนั้นอีกหนึ่งตัวบ่งชี้ที่บอกว่าวงการคริปโตเคอเรนซีในประเทศไทยเริ่มจะหันมาในทิศทางที่ถูกต้องแล้วนั่นก็คือจำนวนบริษัทและผู้ให้บริการด้านนี้ ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักสำคัญสำหรับการที่วงการดังกล่าวจะเติบโตไปได้อย่างมั่นคงในดินแดนสยามแห่งนี้ โดยในปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่าไม่มีผู้ใช้ Bitcoin ชาวไทยคนไหนที่ไม่รู้จัก Bx.in.th และ Coins.co.th ที่ถือเป็นบริการผู้ให้แลกเปลี่ยน Bitcoin เป็นเงินบาทรายแรกๆของประเทศไทย ผู้ที่มองเห็นอนาคตของเทคโนโลยีนี้ในประเทศไทยและพร้อมจะเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงกับกฎหมายของประเทศไทยที่ยังไม่ยิ้มต้อนรับ Bitcoin ในตอนนั้น โดยปัจจุบันนี้มันเป็นที่ยอมรับว่าผู้ให้บริการทางด้านนี้ก็เริ่มผุดขึ้นมามากมายเป็นดอกเห็ด ซึ่งถือเป็นเรื่องดี แม้ว่าจะยังไม่มีกฎหมายมารองรับมันก็ตาม
บริษัท iStarnetwork System คือหนึ่งในบริษัทที่เริ่มกระโดดเข้ามาในวงการนี้เพื่อขออาสาสมัครตัวเองให้เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการคนไทยในการซื้อและขาย Bitcoin นำโดยคุณวิริยะ ลังกาวิเขต หนุ่มไฟแรงอายุ 28 ปีผู้ที่สร้างฐานะตัวเองมาด้วย Bitcoin และการขุดเหรียญ cryptocurrency ก่อนที่จะมาเปิดบริษัทดังกล่าวที่ให้บริการด้านการแลกเปลี่ยนซื้อขาย Bitcoin ในประเทศไทย นามว่า Coinbx.com
เน้นการบริการลูกค้าเป็นจุดขาย
Coinbx.com นั้นเป็นบริการที่ให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถโอนเงินบาทหรือ Bitcoin เข้ามาในบัญชีของพวกเขาเพื่อทำการแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินตรงกันข้ามที่ผู้ใช้บริการต้องการ เช่น BTC เป็น THB หรือ THB เป็น BTC โดยบริการดังกล่าวนั้นจะเป็นการซื้อและขายกับทาง exchange ด้วยกันเอง โดยอ้างอิงจากคุณวิริยะนั้น อัตราแลกเปลี่ยน ณ ปัจจุบันจะถูกอ้างอิงจากเว็บ Okcoin, Poloniex, Bitfinix และ Bittrex และจะใช้เว็บเทรดดังกล่าวเป็นผู้ให้บริการสภาพคล่องไปในตัว
“มีทั้งเว็บ Okcoin, Poloniex, Bitfinix, Bittrex ครับ ผมจะใช้ 4 เว็บนี้ครับ ผมใช้หลายๆเว็บจากต่างประเทศ ซึ่งทุกๆการทำธุรกรรม ผมจะทำการซื้อและขายไปพร้อมๆกับลูกค้า ดังนั้น ผมจึงไม่มีความเสี่ยงในการแลกเปลี่ยนครับ โดยให้เว็บเหล่านั้นเป็นเหมือน Liquidity Provider ให้ผมอีกที”
กล่าวโดยคุณวิริยะ
ที่น่าสนใจคือบริการดังกล่าวนั้นดูเหมือนจะออกแบบมาบนแนวคิดที่เรียกว่า “frictionless experience” หรือแปรตรงๆก็คือประสบการณ์การใช้งานที่ลื่นไหลแบบไม่มีสะดุด โดยมีการนำจุดเด่นด้านหน่วยซัพพอทที่ให้บริการผู้บริโภคแบบมีกะสลับสับเปลี่ยนแบบ 24/7 กล่าวคือ ทางผู้ใช้งานสามารถที่จะทักแชทของ Coinbx เพื่อพูดคุยกับ customer support ได้ทุกเวลาแม้กระทั่งตอนตีหนึ่งหรือตีสอง รวมถึงจุดเด่นอีกข้อที่คุณวิริยะถือกล่าวว่าเป็นจุดขายของ Coinbx ก็คือความเร็วในการฝากและถอนที่มีระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยบริหารและจัดการ ซึ่งเคลมว่าการฝากและถอนทั้งเงินบาทและ Bitcoin นั้นสามารถทำได้ในเวลาภายใน 1-3 นาทีอีกด้วย
“เรามีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการแก้ปัญหาต่างๆตลอด 24 ชม. ตลอดจน การทำธุรกรรมต่างๆจะรวดเร็วกว่าเว็บอื่นๆมาก ครับ[…]ระบบฝากเงินบาทเข้า อัตโนมัติด้วย ฝากเงินแล้วไม่เกิน 1-3 นาที เงินเข้าเลย และถอนบิตคอยแบบทันที ไม่ต้องมีการ audit จาก มนุษย์ พูดง่ายๆว่า ใครที่ซื้อบิตคอย สามารถ ฝากเงินเข้า ไม่เกิน 3 นาที แล้วกดซื้อบิต แล้วถอนบิตได้ทันทีเลย โดยไม่ต้องมีมนุษย์ตรวจสอบ”
กล่าวโดยคุณวิริยะ
สำหรับช่วงนี้เป็นช่วงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ อ้างอิงจากคุณวิริยะนั้น จะมีการลดค่าธรรมเนียมการซื้อขายจาก 0.25% เป็น 0.15% เป็นเวลาสามเดือนเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ๆอีกด้วย
ก่อร่างสร้างตัวด้วย Cryptocurrency
บริษัท iStarnetwork System Co., Ltd. ที่มีคุณวิริยะเป็นเจ้าของนั้นถูกเปิดตัวและก่อตั้งมาด้วยทุนจาก Bitcoin ที่เขามีเกือบทั้งหมด โดยย้อนกลับไปเมื่อปี 2011 ตอนช่วงที่เขายังเรียนในสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าอยู่นั้น เขาได้รู้จักกับ Bitcoin เป็นครั้งแรกจากการได้ยินข่าวเกี่ยวกับการขุด Bitcoin ด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อหารายได้ จึงได้ลองโหลดโปรแกรมมาติดตั้งเพื่อลองขุดดู แต่ด้วยความที่ยังเรียนอยู่และราคา Bitcoin ยังไม่ค่อยเตะตาคนทั่วไปมากนัก จึงล้มเลิกไป ต่อจากนั้นในปี 2016 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคา Bitcoin เริ่มพุ่งขึ้นมาสูงถึง 15,000 บาท ก็มีคนๆหนึ่งมาจ้างให้เขาช่วยทำระบบซื้อขายสินค้า Online ด้วย Bitcoin แต่ก็โชคร้ายที่โปรเจคดังกล่าวไม่ได้รับความนิยมจังต้องปิดตัวไป
โดยระหว่างที่ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์นั้น เขาได้มองเห็นถึงศักยภาพของ Bitcoin และได้ทำการทยอยซื้อเก็บมาตั้งแต่ตอนนั้น โดยเขาได้ซื้อมาเป็นจำนวน 500 BTC ก่อนที่จะขายไป 100 BTC เพื่อการลงทุน
“ทยอยซื้อๆ และขายบางส่วนช่วงที่ราคาขึ้นสูง และซื้อมากขึ้นช่วงที่ตกต่ำ แต่โดยเฉลี่ยก็ได้แถวๆ 30,000-40,000 บาทครับ เพิ่งจะขายไปบางส่วนช่วง 90,000-100,000 ครับ ซื้อมาตอนนี้มีราวๆ 500 บิตคอย ครับ ขายไปราวๆ 100 บิต ครับ”
นอกจากการซื้อเพื่อเก็บสะสมแล้วนั้น เขายังได้มีการขุดเหรียญ altcoin อื่นๆด้วยการ์ดจอของ Nvidia ด้วย แม้ว่าจะเริ่มขุดได้ไม่นานนัก แต่เขาก็ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการทำกำไรจากเหรียญคริปโตที่หลายๆคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน
“ขุดบิตคอย เพิ่งเริ่มขุดได้เพียง 2 เดือนครับ ก่อนหน้านี้ ซื้อเพื่อลงทุนอย่างเดียวเลย ใช้การ์ดจอครับ ขุดเหรียญอื่นแล้วแลกมาเป็นบิตคอยครับ” กล่าวโดยคุณวิริยะ นอกจากนั้นยังมีเหรียญ ZEC และ LBC ที่เขาขุดอีกด้วย “ZEC และ LBC ครับ ผมใช้การ์ดจอ NVIDIA ครับ ไม่ได้ใช้ AMD เลย เนื่องจากสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลังจากการขุดครับ” เมื่อถามถึงรายได้จากการขุดต่อเดือนเขากล่าวว่าสามารถทำรายได้ราวๆ 3,500 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือราวๆ 1 แสนบาท
โรดแมปและอนาคต
คุณวิริยะยังมีแผนการที่จะพัฒนาและขยายบริการให้กว้างขึ้นในอนาคตด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มระบบ macro ให้ผู้ใช้งานสามารถตั้งเวลาซื้อขายล่วงหน้าได้, เพิ่มเหรียญยอดนิยมอื่นๆอย่าง ETH และ LTC, ใส่กราฟของเหรียญแต่ละเหรียญลงไป, สร้าง API เพื่อให้ร้านค้าอื่นๆสามารถรับ Bitcoin เป็นช่องทางในการซื้อขายได้ และ เพิ่มระบบ Market exchange แบบ Bx.in.th
เขายังมีแนวคิดที่ค่อนข้างจะเป็นด้านบวกเมื่อพูดถึงตลาด Bitcoin ในประเทศไทย โดยคาดการณ์จากท่าทีของธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำลังศึกษา Bitcoin อยู่ และคิดว่าในอนาคตเร็วๆนี้คนไทยอาจจะได้เห็นทางรัฐบาลหันมาออกกฎหมายเพื่อรองรับ Bitcoin และ cryptocurrency อื่นๆเพื่อทำให้มันถูกกฎหมาย และเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยและความมั่นใจให้ผู้ใช้ในกรณีที่เกิดคดีอาชญากรรม
“ธนาคารแห่งประเทศไทย ตอนนี้กำลังศึกษาเกี่ยวกับบิทคอยอยู่ ในอนาคตเร็วๆนี้อาจได้เห็นกฏหมายเกี่ยวกับตลาดแลกเปลี่ยน ซึ่งจะทำให่ผู้ใช้รู้สึกปลอดภัยขึ้นเมื่อเกิดอาชญากรรม เกี่ยวกับบิตคอย ก็สามารถเอาผิดกับผู้กระทำความผิดได้ อยากให้ออกกฏหมายเกี่ยวกับบิตคอยไวๆครับ”
ดูเหมือนว่าคุณวิริยะไม่คิดว่าปัญหาการโอน Bitcoin ช้าเนื่องมาจากการติดขัดของเครือข่ายนั้นเป็นปัญหา โดยเขากล่าวว่าทาง Coinbx นั้นสามารถที่จะให้ลูกค้ากำหนดค่าธรรมเนียม miner ได้เอง และจะมีตัวช่วยบอกว่าต้องจ่ายเท่าไรถึงจะใช้เวลานานเท่าไรอีกด้วย
“ลูกค้าสามารถ กำหนดค่าธรรมเนียมที่ต้องการ ” Dynamic fees” ได้เอง ซึ่งเราก็จะบอกว่าจ่ายเท่าไหร่ถึงเร็ว จ่ายเท่าไหร่ถึงช้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ลูกค้าเลือกได้เองเลยครับ” กล่าวโดยคุณวิริยะ
มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่ในปัจจุบันนี้ไม่ว่าใครๆก็เริ่มที่จะหันมาจับจองธุรกิจเกี่ยวกับ blockchain ในด้านต่างๆในขณะที่ตลาดนั้นยังเป็น blue ocean (ตลาดที่มีการแข่งขันต่ำเพราะยังใหม่อยู่) อยู่ โดยภายในระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้ประเทศไทยเรามีทั้งตลาดแลกเปลี่ยนเหรียญคริปโต, ผู้ให้บริการ cloud mining, ร้านค้าที่ขายเฉพาะแต่อุปกรณ์การขุดเหรียญคริปโต และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นการกระโดดเข้ามาจับจองที่ของตัวเองในตลาดดังกล่าวก่อนคู่แข่งนั้นจึงเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง
คุณวิริยะยังได้กล่าวสรุปปิดท้ายถึงแนวคิดเกี่ยวกับระบบการเงินในปัจจุบันที่จะถูกเทคโนโลยี blockchain มาปฏิวัติว่า
“ระบบการเงินแบบดั้งเดิมนั้น เมื่อก่อนเคยอ้างอิงกับทองคำ และหลังจากยกเลิกการสำรองเงินด้วยทองคำแล้ว หลายๆประเทศต่างพิมพ์เงินออกมาใช้ และมีหลายประเทศประสบปัญหาเศรษฐกิจ ทางออกของปัญหาเงินเฟ้อ และการเก็บเงิน นั้นคือ blockchain ในโลกยุคใหม่หลัง Babyboomer จะหันมาลงทุนเงินดิจิตอล ถึงเวลานั้นมูลค่าของตลาดและราคา จะแซงอัตราเงินเฟ้อ เมื่อไหร่ก็ตามที่ราคาเหรียญเหล่านี้ตกต่ำลง ผมแนะนำว่าใช้โอกาสนี้ในการเข้าลงทุนเงินดิจิตอลได้เลยครับ เพราะการถือครองในระยะยาวนั้น คุ้มค่าแน่นอน”
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น