<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สงคราม Bitcoin กับ SegWit2x ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

“ดาวน์โหลด BTC1”

กลายเป็นส่วนหนึ่งของคำพูดที่ทาง BitPay ออกมากล่าวบนบล็อกของพวกเขาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งคำพูดชักชวนนี้มีขึ้นเพื่อต้องการให้นักขุด Bitcoin ทำการอัพเดตซอฟต์แวร์ของพวกเขาล่วงหน้าก่อนการอัพเกรด Segwit2x ที่จะมาถึงนี้ แต่อย่างไรก็ตาม แม้การออกมาโพสของพวกเขาจะไม่มีเจตนาทำให้ผู้ใช้งานโกรธนั้น แต่ทางฟีดแบคจากผู้ใช้งานส่วนใหญ่กลับกลายเป็นไปด้วยด้านลบด้วยความโมโห

สาเหตุหลักๆนั้นเป็นเพราะว่าทาง BitPay ออกมากล่าวว่าพวกเขาจะให้การสนับสนุน “BTC1” หรือซอฟต์แวร์อีกตัวหนึ่งที่สนับสนุน SegWit2x และการเพิ่มขนาดบล็อก 2MB แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากทาง Bitcoin Core ซึ่งเป็นตัว node ที่มีคนให้การสนับสนุนมากที่สุดในเครือข่ายของ Bitcoin ซึ่งการเลือกที่จะแยกตัวดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดปัญหาการไม่รองรับ Bitcoin ของผู้ใช้งานได้

สำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจว่าประโยคข้างต้นคืออะไร ขออธิบายก่อนสักเล็กน้อย เนื่องด้วยการที่เครือข่ายธุรกรรมของ Bitcoin ถูกรันและทำให้ใช้งานทั่วโลกได้โดยกลุ่มนักขุดและผู้ที่เสียสละเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเองเพื่อเปิด node ของ Bitcoin โดย node ของ Bitcoin ที่ว่านี้คือ “โปรแกรมบนเครื่องคอมพิวเตอร์” ที่ถูกรันและ sync กับเครือข่ายของทุกคนที่เปิด node เหมือนกัน โดยโปรแกรมที่ว่านี้จะใช้เก็บข้อมูลธุรกรรมของ Bitcoin ที่มีมาตั้งแต่เริ่มต้น Bitcoin (ปี 2009) จนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังใช้เพื่อยืนยันการส่งธุรกรรมของผู้ใช้งาน Bitcoin อีกด้วย ทว่าปัจจุบัน node ตัวนี้มีหลายเวอร์ชัน ซึ่งตัวที่เราใช้กันอยู่ปัจจุบันก็คือ Bitcoin Core ที่มีผู้สนับสนุนมากที่สุด ดังภาพด้านล่าง ในขณะที่ Bitcoin-ABC คือของ Bitcoin Cash หากจะอธิบายง่ายๆก็คือแต่ละเวอร์ชันที่ไม่เหมือนกันก็จะไม่รองรับการทำงานร่วมกันนั่นเอง และหากเราโอน Bitcoin ไปหา address ที่ถูกเก็บอยู่ใน node ของ Bitcoin-ABC หรือ BTC1 ก็จะใช้งานร่วมกันไม่ได้

จำนวน node ทั้งหมดของ Bitcoin ทั่วโลก

กลับมาที่บทความ หลังจากนั้นผู้คนส่วนใหญ่ก็ออกมาแสดงความโมโหและต่อต้านการตัดสินใจของ BitPay มากมายรวมถึงผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการ Blockchain ด้วย

ผู้สร้าง Lightning Network นามว่า Tadge Dryja เรียกมันว่า “ตัว malware ดีๆนี่เอง” ในขณะที่ผู้สนับสนุน Bitcoin Core นามว่า John Newbery ถึงกลับออกมาพูดว่า โพสนั้นเต็มไปด้วย “ความไม่น่าไว้ใจ้และอันตราย”

หลายๆคนที่ออกมาแสดงความไม่พอใจกล่าวหา BitPay ว่ามีความเต็มใจที่จะทำให้ผู้ใช้งานเกิดความสับสน ซึ่งก็ไม่ต่างจากการที่ออกมาบอกให้ผู้ใช้งานอัพเกรดโทรศัพท์ iPhone ของพวกเขาเพื่อที่โทรศัพท์ของพวกเขาจะได้ส่งข้อความหาคนอื่นๆไม่ได้อีกต่อไป

ซึ่งการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวนั้นบางทีอาจจะเกี่ยวกับเรื่องของโรดแมปในอนาคตของ Bitcoin และการออกมาประกาศสงครามใน network ของ Bitcoin เพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่งมากกว่า

ยิ่งไปกว่านั้นซอฟต์แวร์ BTC1 เกิดขึ้นมาท่ามกลางความขัดแย้งในกลุ่มผู้ใช้งานส่วนมาก เนื่องจากข้อเสนอดังกล่าวนั้นถูกทำขึ้นเพื่อตกลงกันเฉพาะในกลุ่มนักขุด Bitcoin, บริษัท, และนักพัฒนาเท่านั้น และไม่ได้มีการตัดสินใจของกลุ่มผู้ใช้งานเข้าไปร่วมเลยแม้แต่น้อย ทว่าพวกเขากลับอ้างว่าพวกเขาคือตัวแทนของผู้ใช้งานโดยรวมทั้งหมดทั่วโลกที่ต้องการจะมีการให้เกิดการ hard fork เพื่อเพิ่มขนาด block ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

และแม้ว่า SegWit2x นั้นจะไม่ได้ถูกวางแผนเพื่อเปิดตัวโค้ดสำหรับการ hard fork ในอีกสองสามเดือนนั้น แต่แนวคิดดังกล่าวก็อาจจะกลายมาเป็นต้นเหตุแห่งการแยกตัว Bitcoin ออกมาเป็นเหรียญที่สามถัดจาก Bitcoin Cash ก็อาจเป็นได้

การทะเลาะกันในกลุ่มกลายเป็นวัฒนธรรมของ Bitcoin ไปซะแล้ว

สงครามเริ่มต้นขึ้นแล้ว

เมื่อหนึ่งในนักพัฒนาของ Bitcoin Core ถึงกับออกมาแบนนาย Jeff Garzik หรือหัวหน้านักพัฒนา BTC1 อย่างเป็นทางการ หลังจากที่เขามาช่วยมีส่วนร่วมการพัฒนาโปรเจคดังกล่าวบน GitHub หลังจากการประกาศของ BitPay

แม้ว่าเรื่องนี้อาจจะไม่เป็นที่น่าตกใจสำหรับใครหลายๆคน เพราะว่านาย Garzik นั้นเคยหยุดช่วยเหลือกลุ่ม Bitcoin Core ไปตั้งแต่เมื่อปี 2014 แล้ว แต่ทว่าการออกมาทำแบบนี้ก็ไม่ต่างจากการประกาศสงครามของเขานั่นเอง

หลายๆคนถึงกับเชื่อว่านาย Garzik นั้นคือผู้อยู่เบื้องหลังการเกณฑ์ผู้สนับสนุนและแนวร่วมไม่ว่าจะเป็นกลุ่มบริษัทต่างๆ เพื่อแผนการในการครอบครอง Bitcoin ให้เป็นของพวกเขาเองเพื่อประโยชน์ส่วนตน

และก็มีอีกหลายๆคนที่ตีตราว่านาย Garzik นั้นไม่ต่างอะไรกับนักการเมืองที่บางครั้งเวลาเขาเข้าไปแสดงความเห็นใน community ของ Bitcoin ก็จะถูกขอเชิญให้ออก (บางทีก็ไล่ออก) นาย Garzik เคยเป็นอดีตลูกจ้างของ BitPay และตอนนี้กลายเป็น CEO ของบริษัทสตาร์ทอัพนามว่า Bloq

กระนั้น นาย Garzik ก็มีผู้ที่คอยออกมาปกป้องเขาเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สนับสนุน SegWit2x นาย Erik Voorhees หรือผู้ก่อตั้งเว็บ ShapeShift ได้ออกมามองว่าการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวนี้ยังคงเหมือนเคย เนื่องจากพวกเขาไม่ชอบเปิดรับสิ่งใหม่ๆ

ในขณะที่ผู้ใช้งานคนอื่นๆก็ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างมีสีสัน

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

อันตราย, อันตราย

อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจในการต่อสู้ของสงครามครั้งนี้คือแนวคิดเรื่องของความปลอดภัย ที่แต่ละฝ่ายต่างก็ใช้เวลาของพวกเขาในการโจมตีกันไปมา โดยอ้างว่าแนวคิดของแต่ละฝ่ายนั้นจะทำให้เงินของผู้ใช้งานมีความเสี่ยง

ทว่านั่นก็ยังไม่เท่าหัวข้อการต่อสู้เรื่อง “การป้องการโจมตีแบบ replay” (หรือป้องกันการนำ Bitcoin ไปใช้จ่ายสองที)

หลักๆก็คือถ้าหากทาง SegWit2x ตัดสินใจที่จะ hard fork เพื่อให้ขนาดบล็อกของ Bitcoin กลายเป็นขนาด 2MB และ chain ของ Bitcoin ถูกแยกออกเป็นสองตัวนั้น การโจมตีแบบ replay อาจจะทำให้ผู้ใช้งานบางคนและบริษัทต้องสูญเสียเงิน ซึ่งในมุมมองของทีม Bitcoin Core นั้น พวกเขาคิดว่าผู้ที่สนับสนุนข้อตกลง SegWit2x ควรจะเป็นฝ่ายหาวิธีป้องกันการโจมตีแบบ replay

ซึ่งในลักษณะนี้คงจะไม่ต่างจากเหตุการณ์ของ Ethereum เมื่อปีที่แล้วที่ทางนักพัฒนาของ Ethereum นั้นแยกตัวออกไปพัฒนา Ethereum Classic หรือตัว Blockchain ดั้งเดิมของ Ethereum ที่ไม่ต้องการจะ hard fork แต่ทว่าก็ถูกผู้ใช้งานส่วนใหญ่ทอดทิ้ง

ทว่าการต่อสู้ของพวกเขานั้น คนที่เจ็บกลับไม่ใช่นักสู้ แต่กลับกลายเป็นผู้ใช้อย่างพวกเรา ในช่วงนั้นมีผู้ที่สูญเสีย ETH จากการ shuffle ที่ว่านี้

นักพัฒนาบางคนที่ได้พิสูจน์ตัวของพวกเขาแล้วว่าต้องการที่จะอุทิศตัวเองเพื่อ SegWit2x ได้ออกมาแสดงความกังวลว่า BTC1 นั้นไม่มีติดตั้งการป้องกันการโจมตีแบบ replay ซึ่งที่น่าสนใจก็คือบางคนเชื่อว่าพวกเขาตั้งใจทำให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว

เหตุผลุหลักๆก็คือ ถ้าหากพวกเขาไม่ทำการเพิ่มการป้องกันการโจมตีแบบ replay นั้น ทางกลุ่ม SegWit2x จะได้หลีกเลี่ยงการเกิดขึ้นของการแยกตัว Bitcoin และจะได้ชักชวนให้ผู้ใช้งานมาเปิดใช้ซอฟต์แวร์ของ BTC1 ซึ่งก็จะตรงกับคำกล่าวที่สมาชิกในกลุ่มพัฒนาของพวกเขาที่ออกมาบอกว่า BTC1 จะไม่ทำให้เกิด Bitcoin ตัวที่สามอย่างแน่นอน

ผู้สนับสนุนปากกล้าที่อยากให้มีการเพิ่มขนาดบล็อกของ Bitcoin นั้นไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น พวกเขาเชื่อว่าการทำแบบนี้คือเรื่องที่ถูกต้อง แถมยังได้ออกมาทำนายว่า Bitcoin Core นั้นจะกลายเป็น chain ที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุดในอนาคต

การปรองดองและเข้าใจกัน

กระนั้น ก็ยังได้มีคนบางกลุ่มที่ได้ออกมาพูดเตือนสติของค่ายนักรับทั้งสองนี้

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

นาย Ted Rogers หรือประธานของบริษัทผู้ให้บริการกระเป๋า Bitcoin นามว่า Xapo (ที่เคยออกมากล่าวสนับสนุน SegWit2x) ได้ออกมาเถียงในสงครามทวิตเตอร์ว่าผู้วิพากษ์วิจารณ์ส่วนใหญ่นั้นมักจะเข้าใจเป้าหมายและความต้องการของนักพัฒนาแบบผิดๆ

“Segwit2x นั้นคือความพยายามในการจับเอาสองฝ่ายมาจับมือกัน เพื่อไม่ให้เกิดการแยกตัว” เขากล่าวก่อนที่จะลิสข้อได้เปรียบของข้อเสนอ SegWit2x ดังกล่าวนี้

แทนที่จะเถียงว่า SegWit2x นั้นคือ Bitcoin ที่แท้จริง นาย Rogers กล่าวว่านี่จะเป็น “โอกาสให้ตลาดได้เห็นว่าโซลูชันใหม่ๆนั้นจะเป็นอย่างไรในอนาคต”

ที่น่าสนใจคือ ภายหลังนาย Rodgers ยังได้มากล่าวให้ทุกๆคนมีความสามัคคีกัน มิเช่นนั้น Bitcoin ที่พวกเขารักอาจจะตายไปสักวันหนึ่ง โดยเขากล่าวว่า

“ถ้าหากกลุ่ม CEO เพียงไม่กี่คนสามารถที่จะรวมตัวกันและเปลี่ยนแปลง Bitcoin ให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการได้ นั่นหมายความว่ารัฐบาลจะทำแบบนั้นได้เช่นกัน และถ้าวันนั้นมาถึง Bitcoin ก็จะตาย”

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น