<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

“GoldMint ต้องการจะปฏิวัติวงการการจำนำสิ่งของ” กล่าวโดยผู้ก่อตั้ง GoldMint

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นการเล่าเรื่องในมุมมองของนาย Alex Krol หรือนักลงทุนที่มีโอกาสได้เข้าไปทำความรู้จักกับผูก่อตั้งของ GoldMint ทางสยามบล็อกเชนได้รับการติดต่อจาก GoldMint เพื่อขอให้เผยแพร่การสัมภาษณ์ดังกล่าวแล้ว

เมื่อ Dmitry Plushchevsky  ผู้สร้างแพลตฟอร์ม GoldMint ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับโปรเจคของเค้า สารภาพตามตรงว่าฉันไม่ได้สนใจมันในทันที ในทุกวันนี้ ICO ที่เป็น Scam นั้นมีมากมายเหลือเกินจนเหมือนว่ากลายเป็นเทรน แต่ว่า Dmitry Plushchevsky ก็ไม่ได้ลดความพยายาม และเมื่อฉันเข้าไปดูที่เวปไซต์ของเค้าฉันก็ไม่เค้าใจว่ามันคืออะไรซักเท่าไหร่นั้น แต่ฉันกลับไปสะดุดชื่อของ Igor Ryabenky, Yulia Zegelman และ Eduad Gurinovich ซึ่งมันอยู่ในหมวดของที่ปรึกษาและฉันคุ้นเคยกับชื่อเหล่านั้น และยังรวมถึง Mr. Martynov นักลงทุนคนแรกของ Vitaliy Buterin.

ฉันถามคนฉันรู้จักเป็นการส่วนตัวบางคนว่า พวกเค้าเป็นใคร และโปรเจคของพวกเค้าเป็นอย่างไร คนที่ฉันรู้จักกล่าวว่าพวกเค้านั้นมีความสำเร็จที่น่าประทับใจและอยู่ในจุดที่น่าสนใจมาก

ฉันเริ่มรู้สึกว่าทุกๆอย่างมันเริ่มเข้าท่ายกเว้นแค่อย่างเดียวคือ ฉันไม่เข้าใจโปรเจคนี้ ฉันจึงขอให้ Dmitry อธิบายให้ฉันฟังซัก 15 นาทีฉันอยากรู้ว่าสิ่งที่พวกเค้าทำนั้นมันเป็นยังไง พวกเค้าขายอะไร และมันจะส่งผลต่อคนกว่า 8 พันล้านคนได้อย่างไร

เราคุยกันสองชั่วโมงจนฉันเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับโปรเจคนี้ว่า

  • พวกเค้ากำลังทำในสิ่งที่น่าสนใจมาก เมื่อฉันหมายถึงในมุมมองของธุรกิจ มันเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและน่าจะก่อให้เกิดกำไรถึงแม้ว่าจะไม่มีแทคโนโลยี Blockchain
  • แต่ว่าการที่พวกเค้าใข้เทคโนโลยี Blockchain ในการยกระดับโปรเจคนี้ รวมถึงสร้างโอกาสที่ไม่เหมือนใครในการเปลี่ยนแปลงตลาดสินเชื่อขนาดเล็ก
  • พวกเค้าไม่รู้วิธีที่จะอธิบายให้คนทั่วไปเข้าว่ามันจะเกิดประโยชน์ยังไง พวกเช้าอธิบายเชิงเทคนิคมากไป

ถึงแม้ว่าฉันตัดสินใจที่จะช่วยพวกเค้าในเรื่องการสื่อให้คนทั่วไปเข้าใจ ว่าโปรเจคนี้มีโอกาสที่จะกลายเป็นผู้นำในตลาดนี้ แต่ก่อนหน้านั้นฉันอยากจะบอกสิ่งที่น่าสนใจที่สุดก่อนว่าทำไมฉันถึงสนใจโปรเจคนี้ เพื่อคลายความสงสัยแก่ทุกคน

ผู้คนมากมายที่เผชิญกัยสถานการณ์ที่ยากลำบากในการกู้เงินทุนเพื่อให้รอดผ่านช่วงที่ยากลำบาก แต่ด้วยเหตุผลมากมาย ผู้คนเหล่านี้ไม่สามรถไปที่ธนาคารและกู้เงินได้ ทำให้คนเหล่านี้เลือกที่จะไปหาตัวเลือกหรือองกรณ์ที่ให้กู้อื่นๆอย่างโรงรับจำนำหรือสถานธนานุเคราะห์ ซึ่งมันเป็นวิธีที่มีมานานและบางครั้งมันก็กลายเป็นธุรกิจที่ผิดกฏหมาย

อย่างไรก็ตามธุรกิจพวกนี้ให้โอกาสแก่ผู้คนจำนวนมากที่ไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารเพราะฉะนั้นเทคโนโลยีที่ GoldMint ให้ในตลาดนั้นเป็นการปฏิวัติในระดับเดียวกับการคิดค้นโทรศัพท์ และมันทำให้ฉันสนใจที่จะสนุบสนุนโครงการนี้ในช่วงที่มันกำลังพัฒนา

ฉันเชื่อว่าสิ่งที่พวกเค้าสร้าง แต่คุณจะเชื่อหรือเปล่านั้นก็เป็นเรื่องของคุณ และด้านล่างนี้คือบทสับภาษณ์จากการสนทนาจริงๆ

วันนี้เรากำลังคุยกับ Dmitry Plushchevsky co-founder ของโปรเจค GoldMint  Dmitry ช่วยบอกเราซักเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวคุณแล้วก็ไอเดียของโปรเจคนี้เกิดขึ้นได้ยังไง?

ผมทำงานในธุรกิจ IT กว่า 20 ปี ถึงแม้ว่าผมจะอายุแค่ 36 ปี ผมได้มีส่วยร่วมในการพัฒนาและบริหารโปรเจคมากมายเป็นเวลานาน จะในไม่กี่ปีสุดท้ายผมทำงานให้กับกองทุนรวม Typhoon Digital Development ซึ่งผมได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาโปรเจคมากมายรวมถึง NtechLab Starttrack ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดมทุน ในปี 2015 ผมได้ศึกษาในเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดสินเชื่อและพบว่าธุรกิจสถานธนานุเคราะห์ (pawn shop)นั้นดึงดูดความสนใจของผม

ผมแปลกใจว่ามันสามารถทำกำไรได้มากและเห็นช่องว่างของเทคโนโลยีในเวลาเดียวกันและคิดว่ามันจะสามารถสร้างกำไรได้เท่าไหร่

ในปี 2016 ผมรวบรวมคนที่มีประสบการณ์เชิงลึกที่ทำงานเกี่ยวกับทองคำ พวกเราได้มองเห็นปัญหาหลัก 4 อย่างที่ตลาดสถานธนานุเคราะห์กำลับประสบในทุกวันนี้และเริ่มหาวิธีแก้ปัญหา

เป้าหมายของเราคือการปฎิวัติธุรกิจสถานธนานุเคราะห์แล้วสร้างระบบสินเชื่อแบบ peer to peer  ที่คนในประเทศนึงหรือตัวกลางองกรณ์ใดๆก็ตามสามารถให้สินเชื่อแก่คนอื่นๆแม้จะอยู่คนละประเทศ

เมื่อตอนที่เราเริ่มโปรเจุนี้ปัญหาแรกที่เราต้องเผชิญคือของหลุดค้ำประกัน เราจึงแก้ปัญหานี้โดยการสร้างบริษัท “Lot-Zoloto” ซึ่งสร้างกำไรให้เราในธุรกิจนี้กว่า 10 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนในปีเดียว

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

แล้วหลังจากคุณเข้าไปอยู่ในธุรกิจสถานธนานุเคราะห์ คุณมีไอเดียที่จะสร้างกำไรจากธุรกิจนี้ โดยการเสริมพลังของเทคโนโลยีเข้าไปใช่มั้ย?

ถูกต้องครับ ในธุรกิจสถานธนานุเคราะห์นั้นก่อนที่เราจะเข้าไปในธุรกิจนั้นด้านเทคโนโลยีของธุรกิจนั้นถือว่าค่อนข้างขาด แน่นอนว่าคอมพิวเตอร์นั้นถูกใช้เป็นเครื่องคิดเลขในการนับว่าใครมีเงินหรือสิ่งของจำนวนเท่าไหร่

และเราได้เห็นความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีไปผนวกกับมันซึ่งจะเสริมประสิทธิภาพและกำไรในธุรกิจนี้ มันก็เป็นอย่างที่คุณพูด นั้นคือเหตุผลที่ไอเดียนี้ถูกนำมาเป็นนวัตกรรมของธุรกิจสถานธนานุเคราะห์

อย่างที่ผมได้กล่าวไป เราได้กำหนดเป้าหมายของเราคือการแก้ไขปัญหา 4 อย่างในธุรกิจสถานธนานุเคราะห์

  • มูลค่าของของหลุดค้ำประกัน
  • การจ่ายเงินผ่านการโอน
  • สินเชื่อสำหรับสถานธนานุเคราะห์
  • การสร้างมาตรฐานครบวงจร

อย่างเช่นการแก้ปัฐหาในเรื่องความรวดเร็วในการคือของค้ำประกันให้ตรงเวลาทันทีที่จ่ายสินเชื่อครบ เราจึงได้คิดค้นโมเดลธุรกิจใหม่ขึ้น

เราได้เริ่มรับของหลุดค้ำประกันจากสถานธนานุเคราะห์ต่างๆในเงื่อนไขที่แตกต่างกันและตีราคามันในวิธีที่แตกต่างกัน เรารอบคอบในกระบวนการนี้มากและสร้างบริการขึ้นมา และทำให้สถานธนานุเคราะห์กว่า 140 ร้านในประเทศเข้าร่วมกับเรา

และเราก็กำลังแก้ปัญหาถัดไปโดยเราได้สร้างโปรดัคโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยซึ่งมันก็คือ Payment system สำหรับสถานธนานุเคราะห์และบัตรพิเศษจากธนาคาร “Bogatstvo” ที่จะทำให้ลูกค้าของสถานธนานุเคราะห์สามารถขอสินเชื่อผ่านการ์ดได้โดยตรง

และในการโอนเงินที่ขอสินเชื่อเข้ามาในการ์ดนั้นจะไม่เกิดขึ้นในทันทีจะต้องรอเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ถึง 2 วันนั้นหมายความว่ามันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่เพราะว่าผู้ที่นำสิ่งของไปคำประกันนั้นมักจะต้องการเงินในทันที

ทำให้เราได้นำเสนอการ์ดพิเศษ “Bogatstvo” (Mastercard) สิ่งนี้จะทำให้สถานธนานุเคราะห์สามารถโอนเงินได้ทันที คุณสามารถถอนเงินโดยไม่มีค่าธรรมเนียมจากตู้ ATM ของธนาคารใดก็ได้ในรัสเซียและสามารถจ่ายเงินผ่านการ์ดผ่านร้านค้าหรือทางออนไลน์

การ์ดนี้มีกฏหมายรองรับแล้วและตอนนี้สถานธนานุเคราะห์ต่างๆแม้กระทั่งสถานธนานุเคราะห์ขนาดใหญ่ก็กำลังพัฒนาระบบเข้าร่วมกับมัน มันเป็นนวัตกรรมที่ดีมากและไม่เคยมีใครเคยทำมาก่อน

จากที่ฉันเข้าใจการ์ดของคุณไม่ได้เปลี่ยนแปลงหลักการพื้นฐานของสถานธนานุเคราะห์ คุณเป็นผู้ออกหลักทรัพย์ผ่านการ์ดใบนั้นให้บริการและทำให้ลูกค้าสะดวกสบายขึ้นแต่ว่ามันจำเป็นยังไงกับเจ้าของสถานธนานุเคราะห์?

คำถามนี้คือปัญหาที่ 3 ของสถานธนานุเคราะห์ ปัญหาคือสถานธนานุเคราะห์นั้นเป็นธุรกิจที่ขอเครดิตยากมากด้วยลักษณะของธุรกิจปัญหาเรื่องความโปร่งใสและปัญหาเรื่องเงินหมุนเวียนเพราะสิ่งของหลายๆอย่างยากที่จะเปลี่ยนเป็นเงินสดเพื่อบันทึกในระบบบัญชี สิ่งของที่นำมาค้ำประกันนั้นไม่ถือเป็นหลักทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในทางกลับกันสถานธนานุเคราะห์กลับต้องการเครดิตเป็นอย่างยิ่ง ในรัสเซียธุรกิจสถานธนานุเคราะห์มีมูลค่ากว่าพันล้านดอลลาร์และในประเทศอื่นๆก็ไม่ด้อยไปกว่ากันในสเปนมันมีมูบลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ ในอังกฤษ 6 พันล้านฟอนด์ซึ่งมันเป็นปริมาณที่มหาศาลมากแน่นอนว่าเรากำลังพูดถึงเงินทุนหมุนเวียนสถานธนานุเคราะห์มีปัญหานี้มาตลอดเพราะพวกเค้าไม่สามารถหา “สินเชื่อราคาถูก” ได้

ดังนั้นการมอบสิ่งของหลุดประกันมาให้เราจะทำให้สถานธนานุเคราะห์สามารถมูลค่าหมุนเวียนได้ที่ไม่ใช่เงินสด และนำเงินทุนที่ได้จากเราไปจ่ายให้กับลูกค้าผ่านบัตรโดยในวิธีนี้พวกเรากำลังสร้าง “ระบบติดตางของที่ไม่ใช่เงินสด” (non cash track)

และตอนนี้เรากำลังจะเปิดตัวโปรดัคตัวที่ 3 ในการให้เครดิตแก่สถานธนานุเคราะห์ และมันเป็นแก่นของโปรเจค GoldMint เราคิดว่า GoldMint เป็นเหมือนระบบเครดิตของสถานธนานุเคราะห์ซึ่งเราสามารถขยายมันไปในสถานธนานุเคราะห์อื่นๆที่อยู่ในรัสเซีย สเปน จีน เราสามารถเข้าถึงตัวผู้ใช้และผู้ให้สินเชื่อโดยรับประกันดอกเบี้ยได้

ในการให้สินเชื่อแก่สถานธนานุเคราะห์ด้วยวิธีนี้เราต้องมีระบบตรวจสอบธุรกรรมของสิ่งของที่ไม่ใช่เงินสดเพราะปัญหาที่เราพบซึ่งมันเป็นคอนเซปต์ของ GoldMint

ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าสถานธนานุเคราะหืนั้นต้องการเงินทุนแต่มักจะถูกปฎิเสธเนื่องจากปราศจากกระแสเงินสดทำให้พวกเค้าต้องมองหาธุรกิจที่ให้สินเชื่อการ์ดของคุณมอบโอกาสให้พวกเค้าสามารถแสดงกระแสเงินสดในบัญชี ทำให้เค้าเป็นผู้ขอเครดิตที่มีความโปร่งใสขึ้น และในกรณีนี้ไม่ใช่แค่ธนาคารที่สามารถให้สินเชื่อได้ แต่สามารถเป็นใครก็ได้ มันกลายเป็นว่าคุณกำลังเชื่อมต่อสถานธนานุเคราะห์เข้ากับผู้คนที่พร้อมให้สินเชื่อถูกต้องไหม?

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

แน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่พวกเรากำลังจะทำ และปัญหาอีกอย่างนึงคือ ธนาคารผู้ออกเงินกู้มีหน้าที่ต้องทำการตรวจสอบหลักประกัน เพื่อให้แน่ใจว่ามันมีอยู่จริง

และนี่คงจะเป็นคำตอบของปัญหานั้นซึ่งเป็นสิ่งที่มีคนถามมากที่สุด Custody Bot คืออะไร ”?

มันง่ายมากเลย Custody Bot เป็นกระบวนการที่จะจำแนกประเภทของสิ่งค้ำประกันอย่างอัตโนมัติ มันเหมือนตู้เซฟที่มี spectrometer ข้างใน อุปกรณ์ตัวนี้จะวิเคราะห์และตรวจสอบโลหะ ร้านค้าเพชรและสถานธนานุเคราะห์จะใช้ scpectrometer ในร้านของพวกเขา และ CustyBot มีระบบขนส่งสิ่งของจากถาดรับไปยัง Spectrometer ได้ด้วยตัวเอง

หลังจากการประเมินผลโดย spectrometer (ซึ่งมีความแม่นยำอยู่ที่ 70% เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะวิเคราะห์ส่วนประกอบหลักของสิ่งของชิ้นนั้น ) มันถูกส่งไปยังระบบวัดโดยสมดุลของน้ำโดยใช้หลักการ Archimedes ว่ามันมีความหนาแน่นเท่าไหร่ (โดยการชั่งน้ำหนักต่อเนื่องในอากาศและของเหลว)

หลังจากวัดความหนาแน่นและประเมินส่วนประกอบแล้ว แม้การตรวจสอบจะเป็นการลดข้อผิดพลาด หลังตากนั้นมันจะถูกเก็บไว้ในกล่องที่ทำมาพิเศษ

การวิเคราะห์และคำนวนทั้งหมดจะทำโดยคอมพิวเตอร์ที่จะเข้ารหัสน้ำหนักและข้อมู,ต่างๆและส่งไปยัง Blockchain ถ้าหลังจากนั้นผู้ค้าต้องการคืนของให้กับลูกค้า เขาต้องใส่เงินเข้าไปใน Custody bot ที่มีมูลค่าเท่ากับตอนที่วิเคราะห์ ระบบจะคืนสิ่งของค้ำประกันไปให้กับผู้ค้า และส่งข้อมูลไปให้ล๊อคเกอร์เพื่ออัพเดทข้อมูลทองคำที่เหลือ

ฉันเข้าใจละ คุณแบ่งฟังชั่นในที่ใช้ในการยอมรับสิ่งของกับฟังชั่นในการเก็บออกจากกัน ในขั้นตอนการประเมินนั้นมันเกิดในขั้นตอนที่ยอมรับสิ่งของหรือเปล่า?

ระบบการประเมินหลักนั้นสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ CustodyBot ถูกสร้างโดย AirLab หลังจากนั้นมันจะส่งข้อมูลไปยัง Blockchain

ทำไม GoldMint ถึงใช้ blockchain?

เพราะ Blockchain นั้นแก้ปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือในระบบได้

คุณจะรับประกันยังไงว่านักลงทุนจะได้ผลตอบแทนของการลงทุน?

ในกรณีนี้ผู้ที่จะรับประกันผลตอบแทนของเงินทุนคือ CustodyBot ที่เป็นหุ่นยนที่ทำงานอัตโนมัติที่เชื่อมต่อกับระบบ Decentralized

ฟงัชั่นสองอย่างนี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่ข้อมูลจะมีโอกาสผิดพลาด สำหรับเรามันก็เหมือนกับการลดความเป็นไปได้ที่จะเกิดการโกง

การที่มีทองคำอยู่ใน CustodyBot นั้นเป็นการรับประกันผลตอบแทนของเงินทุน ไม่ว่าเจ้าของจะกลัะบมาไถ่ของคืนหรือว่าขายมันไปในรูปแบบสิ่งของหลุดประกันในสองกรณีนี้ เงินทุนจะกลับไปยังพวกเราและผู้ลงทุน

แผนของคุณในอนาคตคืออะไร?

ในขั้นตอนถัดไป CustodyBot จะถูกใช้ในการจัดการร้านค้าปลีกตามถนน ยุคใหม่ของสถานธนานุเคราะห์จะเป็นเหมือนตู้กดน้ำตามปั้มน้ำมัน และต่อไปจะเป็นการติดตั้งตามบ้านทำให้คุณสามารถตรวจสอบมูลค่าของทองคำในขณะที่อยู่ที่บ้านได้

นั้นหมายความว่าฉันสามารถนำสิ่งของไปค้ำประกันได้โดยไม่ต้องออกจากบ้าน?

ถูกต้องแล้ว ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์มีทองคำกว่า 60,000 ตันถูกขุดขึ้นมาแต่ทองคำที่มีทั้งหมดในธนาคารและหน่วยงานต่างๆในแต่ละประเทศนั้นมีเพียง 30,000 ตันนั้นหมายความว่าทองคำ 30,000 ตันที่เหลือนั้นถูกกระจายไปในรูปแบบต่างๆไม่ว่าจะแหวนเครื่องประดับถูกฝังไว้ในดินอยู่ในทะเล และนั้นหมายความว่าทองเหล่านั้นจะไม่ถูกนำมาใช้เลยถ้าเทคโนโลยีไม่สามารถนำทองคำ 30,000 ตันนั้นมาสร้างมูลค่าและด้วยทองคำปริมาณขนาดนี้ผมคิดว่าทุกคนคงเห็นมูลค่าของมัน

กลับมาที่หัวข้อของเราซักหน่อยทำไมคุณถึงใช้เทคโนโลยี Blockchain?

ในตอนแรกเราต้อง พวกเราต้องการหน่วยมูลค่าที่จะใช้ขนย้ายมูลค่าจากคนนึงไปสู่อีกคนนึงและประเมินมูลค่าของมัน และเราไม่ได้ต้องการใช้ค่าเงินดอลลาร์ เพราะเราไม่มั่นใจในมัน ทองคำ 1 ออนซ์จึงเป็นตัวเลือกของเราและเราเลือกเงินดิจิตอลที่มีมูลค่าเท่ากับมัน

ในตอนที่เราพูดคุยถึงมันและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทาง Blockchain พวกเค้าทำให้เราเห็นถึงปัญหาของตลาดเงินดิจิตอลนั้นคือ สกุลเงินที่ปลอดภัยมั่นคง

มากไปกว่านั้นในตอนนี้มันมีปัญหาในเรื่องการแลกเปลี่ยนเงินสกุลปกติกับเงินปกติเพราะมันมีเงินดิจิตอลมากมายและแต่ละอย่างนั้น พวกคนที่ซื้อต้องใช้ข้อมูลการตัดสินใจทางบัญชีเกี่ยวกับผลลัพท์ที่เป็นไปได้

วิธีแก้ปัญหานี้คือการสร้างเหรียญมีที่ความมั่นคง เพราะมันจะง่ายต่อธนาคารที่จะใช้เงินดินิจตอลแค่สกุลเดียวเพื่อให้พวกเค้าไม่ต้องกังวล และหลังจากเปลี่ยนจากเงินดอลลาร์มาเป็น GOLD ที่เป็นเงินดิจิตอลนั้นคุณสามารถนำมันไปแลกกับเงินดิจิตอลสกุลอื่นที่ตลาดแลกเปลี่ยนได้

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

เพราะฉะนั้นโปรเจคของเราจึงเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเงินสกุลปกติและเงินดิจิตอลที่จะทำให้ธนาคารสามารถทำงานร่วมกับเงินดิจิตอลได้

ประโยชน์ของ GoldMint

  • ไว้ Hedge ความเสี่ยงเพราะมีความมั่นคง
  • เป็นระบบ Blockchain สำหรับ payment ที่ทำได้รวดเร็ว
  • เป็นสะพานระหว่าเงินดิจิตอลและเงินสกุลปกติ
  • การให้สินเชื่อแบบ peer to peer

ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ในโปรเจคของเราทำให้เรามีโอกาสมาเริ่มต้นในโลกของเงินดิจิตอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ความเชื่อมั่นจากในรัสเซีย

ช่วยบอกฉันหน่อยว่าโทเคนนี้ทำอะไรได้บ้างมันใช้ยังไง จะมั่นใจในสภาพคล่องได้ยังไง?

ระบบของเรามีโทเคนสองแบบโดย GOLD จะเป็นเหรียญที่รองรับโดยทองคำโดยเราจะขายมันโดยแลกกับเงินสกุลปกติเท่านั้น และการที่เราสร้าง Blockchain ของตัวเองเราจึงต้องการกำลังประมวลผล

และในการจูงใจนักขุดเพื่อประมวลผลให้เรา เราจึงมีโทเคนแบบที่สองคือ MNT ที่มีกว่า 10 ล้านโทนเคนที่เราขายออกไปเพื่อใช้ในการประมวล ธุรกรรมทั้งหมดของเราจะถูกเก็บในบล็อคและปิดทุกๆ 4 วินาทีเท่ากับว่ามันสามารถทำธุรกรรมได้ 100000 ธุรกรรมใน 1 วินาทีและแน่นอนบล็อคพวกนี้จะต้องถูกยืนยันโดยบางคน

ในระบบ proof of chain นี้นักขุดจะต้องแข่งกันประมวลผลซึ่งหมายความว่ามันต้องใช้พลังประมวลผลซึ่งเรามีทางเลือกที่ต่างกัน MNT นั้นจะเป็นตัวรับประกันว่าผู้ที่ถือจะได้ค่าธรรมเนียมจากการยืนยันธุรกรรม โดยคิดเป็นอัตราส่วน MNT จาก MNT ทั้งหมด

ถ้างั้นหมายความว่าคนที่ซื้อ MNT จะมีสิทธิที่จะได้รางวัลจากการยืนยันธุรกรรม เหมือนรายได้ประจำอย่างนั้นใช่มั้ย?

ใช่ แต่จะเป็นก็ต่อเมื่อเค้ามอบบริการให้เราโดยการตรวจสอบธุรกรรมบนคอมพิวเตอร์ของเค้าผ่านอินเทอร์เนต

ทุกวันนี้คอนเซปต์ของนักขุดนั้นถูกลดบทบาทลง ดังนั้นผมจึงขอบอกว่าคุณจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ก็ต่อเมื่อต้องการ Blockchain wallet เท่านั้น

ค่าธรรมเนียมของธุรกรรมคือ 0.3% โดยนักขุดที่ยืนยันธุรกรรมจะได้ค่าคอมมิชชั่น 75% และ 25% ที่เหลือนั้น 12.5% จะเป็นรายได้ให้กับเราและ 12.5% 0ะถูกนำไปบริจาคการกุศล

แล้วโทเคน GOLD หละ

เมื่อคนซื้อ GOLD ด้วยเงินปกติเงินทั้งหมดจะถูกแลกเป็นทองคำ

แล้วธุรกรรมจะมาจากที่ไหนได้บ้าง มาจากสถานธนานุเคราะห์ต่างๆหรือเปล่า

ไม่ ธุรกรรมจะมาจาก Payment ที่เกิดขึ้นใน Blockchain

มันจริงหรือเปล่าที่การขายโทเคน GOLD จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องเงินทุนในสถานธนานุเคราะห์?

เป้าหมายหลักของโทเคน GOLD ไม่ใช่การให้เงินทุนแก่สถานธนานุเคราะห์ แต่ว่าคนที่ถือโทเคน GOLD สามารถเพิ่มมูลค่ามันได้ โดยการส่งมันมาให้เราเพื่อทำ Trust management ในการขอเงินทุน

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

แล้วโทเคนตัวไหนที่คุณขายใน ICO ในวันที่ 20 กันยายน 2017?

แค่ MNT เท่านั้นเราตั้งใจที่จะสร้าง blockchain และโทเคน GOLD จะถูกเปิดตัวในช่วงแรกของปี 2018โทเคน GOLD นี้จะมีความมั่นคงและผูกกับค่าของทองคำทำให้ค่าของมันจะไม่ผันผวน

ในส่วนของ MNT นั้นจะถูกใช้ในการยืนยันธุรกรรมของ GOLD ด้วยเช่นกันทำให้คุณมีโอกาสในการได้รางวัลจากการยืนยันทำธุรกรรม ในฤดูใบไม้ผลิของปี 2017 เราได้ทำการเปิดขายระยะแรกและขายได้กว่า 6 แสนดอลลาร์ใน 36 ชั่วโมง

และในบรรดาที่ปรึกษาของเรานั้นเป็นที่รู้จักดีในแวดวงการเงินระดับโลกและในวงการกองทุน เราตั้งใจจะขาย MNT จำนวน 7 ล้านโทเคนที่ราคา 7 ดอลลาร์ต่อโทเคนโดยวันนี้เรามีผู้สนใจกว่า 3,000 คนที่ลงทุนใน ICO ของเราจากทั่วโลก

ปัจจุบัน GoldMint นั้นได้ขาย ICO รอบแรกจบไปแล้ว และรอบที่สองกำลังเริ่มขึ้นแล้ว โดยผู้ที่สนใจสามารถที่จะดูได้ที่หน้าเว็บหลักของ GoldMint

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น