ในปัจจุบันปี 2020 นี้คงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักกระดานเทรด Bitcoin ระดับโลกนามว่า Binance อย่างแน่นอน พวกเขานั้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และผ่านมรสุมามากมายนับตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อปี 2017 เป็นกระดานเทรดที่เกิดขึ้นมาไม่นานแต่ก็มีการเติบโตอย่างมหาศาลและฟื้นคืนกลับมาได้หลังจากเหตุการณ์แฮ็กครั้งใหญ่ หากเป็นเว็บเทรดอื่นๆ อาจตายไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ทางเราเคยได้ทำการรีวิวเว็บเทรด Binance เอาไว้แล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป ฟีเจอร์ต่างๆ ย่อมอัพเดทขึ้นมา ทีนี้เรามาดูกันว่าหน้าตากระดานเทรด Binance เปลี่ยนไปอย่างไรผ่านบทความรีวิวฉบับนี้
ดีไซน์และความง่ายต่อการใช้งาน
ก่อนอื่นจะใช้งาน Binance ก็ต้องสมัครสมาชิกเสียก่อน โดยส่วนตัวผู้เขียนนั้นได้สมัครสมาชิกกับทางเว็บไซต์ไว้อยู่แล้ว ซึ่งหากมองในแง่ของดีไซน์เว็บไซต์ก็ต้องกล่าวว่าดีไซน์ออกมาแล้วให้ความรู้สึกเรียบหรู เน้นสีดำและสีเหลืองออกทองๆ
ลูกเล่นของ Binance นั้นเรียกได้ว่ามีเยอะมากๆ ด้วยความที่เปิดมาตั้งแต่ปี 2017 ก็ย่อมต้องพัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นเป็นธรรมดา แถบด้านลนนั้นก็จะมีการให้กดซื้อเหรียญ BTC, BNB, BUSD, ETH, XRP และเหรียญอื่นๆ กับสกุลเงินเฟียตซึ่งในตอนนี้ซัพพอร์ตเงินบาทไทยแล้ว
แพลตฟอร์มของเว็บไซต์หน้าแรกนอกจากจะมีให้ซื้อเหรียญคริปโตก็มีตารางแสดงราคาเหรียญด้วยโดยเริ่มที่ราคาเหรียญของ BNB ของ Binance เป็นเหรียญแรก
ส่วนด้านล่างก็จะมีให้โหลดแอพลิเคชั่นของ Binance ทั้งเวอร์ชั่นมือถือ, เดสก์ท็อปและ API
ช่องทางการติดต่อ Binance มีระบบซัพพอร์ต 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ทาง Binance ยังมีช่อง Careers ด้วย ใครที่สนใจอยากทำงานกับบริษัทก็กดเข้าไปดูในช่องนี้ได้
Binance เป็นแพลตฟอร์มที่มีควาเสถียรสูงมากและมีผู้ใช้งานหลากหลายจึงไม่แปลกที่ Binance จะกลายเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มยอดนิยมมากที่สุดในโลก ทั้งนี้หน้าเว็บไซต์ของ Binance ไม่มีให้เลือกเป็นภาษาไทยดังนั้นแล้วหากจะใช้งานกระดานเทรดผู้ที่ยังไม่เคยใช้งานกระดานเทรดเลยอาจจะต้องลองทำการศึกษาในระดับหนึ่ง
การสมัครสมาชิกของเว็บดังกล่าวนั้นไม่ยากเหมือนเว็บทั่ว ๆ ไป โดย Binance จะใช้มาตรฐานการทำ KYC ที่ประกอบไปด้วยการถ่ายรูปพาสปอร์ตพร้อมกับเจ้าของตามปกติ โดยหากทำ KYC เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทาง Binance จะทำการ Verify เหมือนเว็บ Exchange อื่น ๆ ถ้าใครไม่ Verify การถอน Bitcoin ออกจะถูกจำกัดแค่ 2 BTC ต่อวันเท่านั้น ถ้าเรามีความจำเป็นต้องถอนมากกว่า 2 BTC ควรจะยืนยันตัวตน
ซื้อขาย
ในส่วนของการซื้อขายที่ Binance มีให้เลือกซื้อคริปโตผ่านทาง Binance Fiat Gateway, Market, Trade
Binance Fiat Gateway
หน้าการซื้อขายแรกที่ผู้ใช้งานสามารถใช้งานได้ก็คือหน้า Binance Fiat Gateway ซึ่งก็คือหน้าที่ผู้เขียนกำลังเปิดอยู่ในตอนนี้
หน้า Binance Fiat Gateway ก็คือหน้าที่ให้ผู้ใช้งานเปิดเข้ามาแล้วทำการซื้อขายคริปโตผ่านบัตรเครดิตหรือเดบิตได้เลยโดยไม่ต้องมาคอยกดฝากเงินเข้าเว็บไซต์ให้ยาก สกุลเงินเฟียตที่ให้เลือกนั้นมีเยอะมากซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเงินบาทไทยด้วย ซึ่งในหน้านี้ผู้ใช้งานสามารถเลือกซื้อขายหรือแปลงเงินคริปโตสกุลหนึ่งเป็นอีกสกุลหนึ่ง เช่น BTC เป็น ETH ได้ด้วย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้ถือเหรียญอะไรไว้และต้องการแปลงเหรียญนั้นเป็นเหรียญอะไร
อย่างไรก็ตามเมื่อทาง Binance นั้นเป็นพาร์ทเนอร์กับ Satang การซื้อขายคริปโตกับเงินบาทไทยจึงต้องทำผ่าน Satang
เมื่อเรากดหน้านี้เสร็จสิ้นเรียบร้อยเราก็จะต้องเปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มของ Satang โดยอัตโนมัติ
ตลาด และเหรียญที่มีให้เทรด
มาดูที่หน้า Market กันบ้าง หลักๆ หน้านี้คือจะแสดงราคาของเหรียญต่างๆ ซึ่งก็จะแบ่งออกเป็นตลาดในหน้าของเหรียญที่เราชื่นชอบหรือ Favorite, BNB Markets, BTC Markets, ALTS Markets และ FIAT Markets ซึ่งหน้านี้จะแสดงความเปลี่ยนแปลงราคาของเหรียญในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา, Market Cap และ 24h Volume ซึ่งละเอียดมากๆ
เมื่อกล่าวถึงเหรียญที่มีอยู่ในเว็บ Binance แน่นอนว่า มีเหรียญที่หลากหลายให้ผู้ใช้งานเลือกเทรด โดยปริมาณเหรียญที่มีนั้นมีมากถึง 150 เหรียญไม่ว่าจะเป็น TRX, XLM, NEO และอื่นๆ อีกมากมาย โดยเหรียญส่วนใหญ่นั้นจะถูก quote คู่กับ BTC, BNB, ETH และ USDT หรือเหรียญใหญ่ ๆ หลัก ๆ
เทรด
ในหน้าของการเทรดนั้นบนแพลตฟอร์ม Binance จะแบ่งหมวดหมู่การเทรดออกเป็น 3 หมวดหมู่คือการเทรดสปอตซึ่งจะประกอบไปด้วยการเทรดขั้นพื้นฐาน (Basic), ขั้นสูง (Advance) และการเทรดแบบมาร์จิ้น (Margin) หมวดหมู่การเทรดอนุพันธ์ประกอบไปด้วยการเรดฟิวเจอร์ (Futures) และหมวดหมู่การเทรดเงินเฟียตประกอบไปด้วยการเทรดแบบเพียร์ทูเพียร์หรือซื้อขายคริปโตกันเอง (P2P) และ Buy Crypto (ซื้อคริปโตผ่านบัตรเครดิตหรือเดบิต)
ค่าธรรมเนียม
สำหรับเว็บ Binance ค่าธรรมเนียมในการเทรดของ Maker และ Taker นั้นอยู่ที่ 0.1% ต่อโวลุ่มที่เทรดต่อครั้ง ในกรณีที่คุณมีโวลุมเทรดต่อเดือนที่ต่ำกว่า 50 BTC (ซึ่งจะนับเป็นระดับ VIP 0) ทว่าหากคุณใช้เหรียญ BNB ในการจ่ายค่าธรรมเนียมนั้น มันจะลดลงเหลือแค่ 0.075%
หากดูที่ตารางด้านล่างนั้นจะเห็นได้ถึงอัตราค่าธรรมเนียมที่ลดหลั่นลงมาตามระดับโวลุ่มในการเทรด
ส่วนขั้นต่ำในการถอน ถ้าเป็น Bitcoin จะอยู่ที่ 0.002 BTC (ประมาณ 980 บาทตามอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนี้) ส่วน Ethereum อยู่ที่ 0.02 ETH (798 บาท) เท่านั้น ส่วนเหรียญอื่นๆ ก็มีสัดส่วนที่แตกต่างกันไป
ส่วนค่าธรรมเนียมในการถอนเหรียญคริปโตนั้นจะมีการอัพเดตเรื่อย ๆ ซึ่งในปัจจุบันที่เขียนรีวิวอยู่นี้ การถอน Bitcoin ขั้นต่ำนั้นบังคับให้อยู่ที่ 0.001 BTC และมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 0.0004 BTC
ค่าธรรมเนียมในการถอนแต่ละเหรียญนั้นมีความแตกต่างกันไป ซึ่งคุณสามารถดูข้อมูลได้ที่หน้าดังกล่าวนี้
การเทรด Spot
อย่างที่ได้กล่าวไปคือ Binance นั้นให้บริการเทรดที่ครอบคลุมมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเทรดสปอต, เทรดฟิวเจอร์หรือการเทรดแบบเพียร์ทูเพียร์คือเข้าในใช้บริการที่แพลตฟอร์ม Binance ได้แบบครบวงจรและสามารถเลือกเปอร์เซ็นต์ในการเทรดแบ่งเป็น 25%, 50%, 75% และ 100% ในส่วนของการเทรดจะมีให้เลือกเทรดแบบ Limit, Market และ Stop-limit/ OCO ด้วย
Basic
ในส่วนของหน้าเทรดขั้นพื้นฐานหรือ Basic ก็คือคล้ายๆ กับแพลตฟอร์มของ Exchange อื่นๆ และสามารถปรับโหมดเป็นกลางวัน/กลางคืนได้ มีกราฟแสดงโชว์และมีราคา Bid/Ask
ด้านล่างเป็นช่องทำคำสั่งซื้อขายคริปโตสามารถเลือกได้ว่าเราจะใช้การเทรดแบบไหน Exchange, Margin หรือ Futures
ในหน้าการเทรด Basic นี้ก็เหมือนกับ Exchange อื่นๆ ที่ผู้ใช้งานแต่ละคนคุ้นเคย จะเห็นว่าเทรดแบบ Basic นี้ไม่ได้มีการให้ใส่ Technical Indicator อะไร
Advanced
แต่ถ้าหากเลือกเป็นเทรดแบบ Advanced เราจะเห็นหน้าตามันเปลี่ยนไปเลยกราฟราคาจะถูกเปลี่ยนมาอยู่ด้านซ้ายมือพื้นที่ทั้งหน้านี้คือแสดงการเทรดอย่างเดียวโดยผู้ใช้สามารถเลือกให้แสดงแต่ราคาซื้อหรือให้แสดงแต่ราคาขายหรือให้แสดงทั้งราคาซื้อและราคาขายได้พร้อมทั้งบอกการซื้อขายล่าสุดตลอดเวลา 24/7
การเทรด Advance นี้จะยากขึ้นมาอีกสำหรับนักเทรดที่ทำการเทรดอยู่บ่อยๆ ซึ่งจะมี Technical Indicator ให้ใส่มากขึ้นก็เลือกใช้เครื่องมือที่ถนัดได้เลย
Margin
มาดูในส่วนของการซื้อขายแบบมาร์จิ้นกันบ้างก่อนที่จากภาพด้านล่างคือทาง Binance นั้นจะมีโหมดให้เลือกคือ Normal, Borrow และ Repay
สำหรับการเทรดมาร์จิ้นผู้เขียนได้ทดลองโอนเงินเข้าไปในกระดานเทรด Binance ดูว่าจะใช้งานได้ง่ายขนาดไหน ซึ่งได้โอนเงินเข้ามาเป็นจำนวน 0.00618519 BTC หรือประมาณ 1,200 บาท ซึ่งอย่างที่เห็นคือทาง Binance นั้นได้ทำการแยก Wallet สำหรับเทรดมาร์จิ้นโดยเฉพาะซึ่งหากต้องการเทรดต้องโอนเงินจาก Spot Wallet มายัง Margin Wallet ก่อน โดยกดเข้ามาที่หน้า Wallet แล้วเข้าไปที่ Margin Wallet
พอเข้ามาที่หน้า Margin Wallet ก็เลื่อนลงมาข้างล่างจะมีให้กด Transfer ซึ่งมีหลายเหรียญให้เลือกมากโดยตัวผู้เขียนจะทดลองเทรดมาร์จิ้นกับเหรียญ BTC
พอเลื่อนลงมาด้านล่างเราก็จะเห็นตามภาพด้านบน จะมีปุ่มให้กด Transfer เนื่องจากเงินที่ผู้เขียนฝากเข้ามาซึ่งเป็นเหรียญ BTC นั้นจะถูกเก็บไว้ที่ Spot Wallet เราก็ต้องโอนเงินจาก Wallet นี้ไปที่ Margin Wallet เพื่อเทรดมาร์จิ้น ค่อนข้างจะซับซ้อนหากใครไม่ศึกษาก่อนอาจจะงงได้ แต่ก็เป็นระบบดีทีเดียว
เสร็จแล้วก็กด Transfer เลย BTC ก็จะถูกโอนเข้ามาที่ Margin Wallet แล้วเราก็จะเห็น BTC มาอยู่ที่หน้า Margin Wallet แล้วดังภาพด้านล่างนี้
ทีนี้เราจะมาทดลองยืม BTC กันโดยกดไปที่ช่อง Borrow/Repay แล้วก็จะเห็นว่ามันมีให้เลือกว่าคุณจะยืมกี่เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ 25%, 50%, 75% และ 100% ซึ่งผู้เขียนก็จะเลือก 100% เท่ากับว่าเดิมเรามี 0.0061 BTC ยืมมา 100% ก็จะได้ประมาณ 0.012 BTC ซึ่งทางเว็บจะคิดดอกเบี้ยเป็นรายชั่วโมง ชั่วโมงละประมาณ 0.00145% ตามภาพด้านล่างนี้
หากพูดถึงดอกเบี้ยก็ค่อนข้างจะโหดเพราะคิดเป็นรายชั่วโมง ลองเฉลี่ยคิดเป็นรายวัน (24 ชั่วโมง) ก็จะตกอยู่ที่ประมาณวันละ 0.03499992% เฉลี่ยนเดือนละ 1.0499976% ต่อเดือน
ทั้งนี้เหรียญที่เราจะทำการยืมมา Short/Long เหรียญไหน ถ้าจะ Short BTC ก็กด Borrow BTC แล้วเอา BTC มาขาย พูดง่ายๆ ก็คือยืม BTC เพื่อมาขายเก็งกำไรนั่นเอง แต่ถ้าหากจะยืม USDT ก็ได้เช่นกัน เผื่อว่าเราจะเอาไปเทรด Long (ซื้อ) กับเหรียญอื่นๆ หากเรามองว่าราคาเหรียญที่เราจะเทรดด้วยมันจะขึ้นต่อ ซึ่งผู้เขียนจะลองยืม BTC มา Short ดู
เมื่อกดคอนเฟิร์มเรียบร้อยเงินที่ประมาณ 0.0185 BTC โดยสามารถกดเลเวอร์เลจจาก 3X มาเป็น 5X
ผู้เขียนจะลองเลือกเลเวอร์เลจ 3X ก่อนเท่ากับว่าตอนนี้ผู้เขียนมี BTC ให้ขายอยู่ที่ประมาณ 0.018 (จากต้นทุนประมาณ 0.06 เลเวอร์เลจ 3X ก็คือยืม BTC มาขาย 3 เท่าของต้นทุนเดิม) และจะกดทดเทขายซึ่งสามารถเลือกได้ว่าเราจะขายเท่าไหร่ตั้งแต่ 25% ไปจนถึง 100% และตั้งขาย Limit/Market ได้
ขายตามราคาตลาดเพื่อความรวดเร็วและได้รับเงินเข้ามาประมาณ 116.11 USDT
ทีนี้มาลองกดจ่ายเงินคืนดูบ้างซึ่งก็จะต้องกดไปที่หน้า Repay โดยจะมีหน้ามาให้เรากดยืนยันคำสั่งซึ่งก็จะบอกว่า BTC ที่เราได้รับมาเนี่ยจะเอาไปจ่ายคืนกับที่เรายืมมาก่อนซึ่งจะจ่ายดอกเบี้ยเป็นอันดับแรก
เมื่อกดยืนยันเสร็จก็รอดำเนินการดูได้จากประวัติการทำธุรกรรมด้านล่าง
จากนั้นก็กดมาดูที่ Margin Wallet ก็จะเห็นเงินโอนเข้ามาในนี้
ถ้าจะไปเทรดแบบปกติก็กดโอนเงินเข้ากระเป๋า Spot Wallet
โดยภาพรวมการเทรด Margin นั้นก็ค่อนข้างที่จะต้องทำความเข้าใจมากๆ หากใครที่ไม่เคยเทรดมาก่อนจะต้องทำความเข้าใจก่อนและต้องมีการคำนวณดอกเบี้ยซึ่งก็ถือว่าคิดโหดเพราะเป็นรายชั่วโมงดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นและต้องคำนวณต้นทุนที่เรายืมมากด้วยไม่เช่นนั้นก็จะขาดทุนได้
ด้วยความที่ฟังก์ชั่นของ Binance นั้นมีค่อนข้างเยอะดังนั้นแล้วความเข้าใจในอุปกรณ์ต่างๆ บนกระดานเทรดจึงต้องมาก่อน แต่เมื่อดูจากความเป็นระบบระเบียบแล้วก็ค่อนข้างจะเป็นระบบมาก อย่างไรก็ตามนักเทรดที่ไม่เคยเทรดมาก่อนอาจจะใช้ Binance ยากหรือถึงขนาดใช้ไม่เป็นเลยก็ได้หากไม่ศึกษา
การเทรด Futures
ผลิตภัณฑ์อีกชิ้นของ Binance ที่มีผู้ใช้งานเพิ่มสูงมากก็คือหน้าเทรดฟิวเจอร์ ซึ่งกระดานเทรดฟิวเจอร์ของ Binance นั้นมีให้เลเวอร์เลจถึง 125x ซึ่งการเทรดฟิวเจอร์นั้นจะต้องใช้เหรียญ USDT เป็นตัวตั้ง
ก่อนจะเริ่มทำการเทรดคือต้องมาขาย BTC เป็น USDT ก่อนเพราะ Binance เปิดให้เทรดฟิวเจอร์คู่กับเหรียญ USDT และ BNB เท่านั้น
เมื่อเราขาย BTC เป็น USDT แล้วก็โอนเงินเข้ามาในกระเป๋าฟิวเจอร์แล้วก็กดคอนเฟิร์มการโอน
อย่างที่เห็นคือผู้เขียนมีต้นทุนอยู่ที่ 38.66 USDT และเลือกเลเวอร์เลจที่ระดับต่ำก่อนคือ 20X ซึ่งทาง Binance นั้นให้เลือกเลเวอร์เลจได้สูงสุด 125X หลังจากเลือกเรียบร้อยจากนั้นก็เริ่มเทรดได้ เมื่อเงินทุนของผู้เขียนนั้นมี 38.66 USDT หรือประมาณ 0.005 BTC และผู้เขียนเลือกเลเวอร์เลจอยู่ที่ 20X ดังนั้นแล้วผู้เขียนจึงสามารถเปิดคำสั่งได้สูงสุด 0.1 BTC (มาจาก 0.005 X 20) นั่นเอง
ทดลองทำคำสั่ง Long โดยผู้เขียนคาดว่าราคาจะขึ้น หากราคาเคลื่อนที่ไปยังทิศทางที่เราต้องการหรือไม่ต้องการก็ตามเพื่อตัดขาดทุนก็ไปกดที่ Close Position ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะ Close ตามราคาตลาด (Market) หรือจะ Close โดยตั้ง Limit ก็ได้
เมื่อกด Long เรียบร้อยแล้วก็ต้องมาคอยตรวจดู Positions ที่เราเปิดไว้โดย Entry Price จะเป็นราคาที่เราเข้าเปิดคำสั่ง, Mark Price เป็นราคาที่เอาไว้คำนวณกำไร/ขาดทุน (Profit and Loss หรือ PNL) และมาร์จิ้น, Liq. Price คือราคาที่เราจะถูกบังคับปิดสัญญา, Margin Ratio เอาไว้ดูว่าจะถูก Liquidate ตอนไหนหากถึง 100% ก็จะถูก Liquidate ทันทีและ Margin ก็คือแสดงเงินที่ได้ส่วน PNL (ROE %) ก็บอกกำไรขาดทุนเราโดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์
เมื่อกด Close Position แล้วก็จะมีหน้าต่างเด้งขึ้นมาให้เรากดยืนยัน
จากนั้นก็เช็คยอดเงินคงเหลือได้ที่จอด้านขวามือตรงรูปกระเป๋าเงิน
สรุปการเทรดฟิวเจอร์นั้นมีสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก่อนการเทรดให้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นคำสั่งหรือเครื่องมือต่างๆ กล่าวคือหากดูบนแพลตฟอร์มแล้วมันจะมีคำสั่งให้เลือก 3 อย่างคือ Limit, Market และ Stop-limit
- Limit order ก็คือราคาที่เราต้องการหาก Bitcoin วิ่งมาชนที่ราคานี้คำสั่งก็จะถูกดำเนินการ
- Market ก็คือการ Buy/Long ตามราคาตลาด
- Stop-limit คือเป็นคำสั่งที่เราตั้งขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ถูก Liquidated โดยจะแบ่งแยกออกเป็น Stop-limit และ Stop-market ซึ่งเราจะต้องตั้ง Trigger Price ซึ่งก็คือราคาที่เราต้องการให้มีการซื้อขายอัตโนมัติเพื่อตัดขาดทุนไม่ให้ถูกบังคับขาย
เครื่องมือที่ Binance ให้มานั้นมีครอบคลุมมากและต้องศึกษาว่าแต่ละเครื่องมือใช้ทำอะไรบ้าง คนที่ไม่เคยเทรดฟิวเจอร์มาก่อนแล้วมาทดลองเทรดก็จะไม่รู้ว่าคำสั่งนี้กดไปแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ ซึ่งต้องศึกษาและมีความรู้มาก่อน
นอกจากนี้การเทรดฟิวเจอร์มันจะมีข้อแตกต่างจากการเทรดสปอตตรงที่มันเป็นการคาดเดาราคาว่าจะขึ้นหรือลงไปเท่าไหร่ซึ่งตรงนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการเทรดของแต่ละคน การเทรดฟิวเจอร์มันจะมีการ Liquidations ด้วยหรือการบังคับปิดสัญญาแบบขาดทุนหากว่าราคามันไม่ได้เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่เราทำนายจนถึงจุดหนึ่งซึ่งเงินเราก็จะหายไปทั้งหมด
การเทรดด้วยสกุลเงินจริง
การซื้อขายคริปโตด้วยสกุลเงินจริงบนกระดานเทรด Binance สามารถทำได้สองวิธีคือซื้อขายแบบ Peer-to-Peer เลยหรือซื้อขายด้วยบัตรเครดิต ซึ่งหากทำการซื้อขายด้วยสกุลเงินไทยบาทของเรานั้นจะมีวิธีการชำระเงินที่แตกต่างจากของสกุลเงินอื่นคือจะเชื่อมไปยังผู้ให้บริการบุคคลภายนอกซึ่งก็คือ Satang Pro นั่นเอง
P2P
การเทรดแบบ P2P ก็คือการซื้อขายโดยผู้ใช้งานซื้อขายกันเอง เราสามารถกดเลือกได้ว่าเราอยากซื้อเหรียญอะไร หรือเราอยากจะขายเหรียญอะไรตามภาพด้านล่างนี้ โดยจะมีผู้ใช้งานมาตั้งราคาขายเอาไว้และบอกวิธีการชำระเงินด้วยว่าสามารถชำระได้ทางไหนบ้าง ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นผ่านทางธนาคาร
ซื้อเหรียญคริปโต
ในช่องตัวเลือก ‘Buy Crypto’ นี้ Binance สร้างขึ้นเพื่อให้สามารถมีการซื้อขายคริปโตได้ผ่านทางบัตรเครดิตหรือเดบิตที่เราใช้บริการอยู่ได้แต่หากเป็นเงินไทยบาทต้องเป็นการซื้อผ่านทางแพลตฟอร์มของ Satang ตามที่ได้กล่าวไปช่วงต้นของรีวิวนี้
ฝากถอนคริปโต/เงินจริง
การฝากถอนเหรียญบนเว็บไซต์ Binance นั้นมีระบบที่แยกหมวดหมู่ไว้ละเอียดและชัดเจนคือแบ่งเป็น Spot Wallet, P2P Wallet, Margin Wallet, Futures Wallet และยังมี Lending Asset แสดงสินทรัพย์ที่เรากู้ยืมไปรวมถึง WazirX Wallet ที่ไว้ให้บริการซื้อขาย USDT กับเงินรูปีของอินเดียแบบ Peer-to-Peer
การฝาก
ในส่วนของการฝากนั้นผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะฝากเป็นเงินคริปโตหรือสกุลเงินเฟียตซึ่งหากฝากเป็นเงินเฟียตนั้นจะมีสกุลเงินให้เลือกอยู่ 9 สกุลเงินด้วยกันซึ่งก็คือ สกุลเงิน Euro (EUR), Pound Sterling (GBP), Hong Kong Dollar (HKD), Kazakhstani Tenge (KZT), Nigerian Naira (NGN), Russian Ruble (RUB), Turkish Lira (TRY), Ukraine Hryvnia (UAH) และ South Africa Rand (ZAR) ซึ่งไม่มีเงินบาทไทยหรือดอลลาร์สหรัฐแต่อย่างใดดังนั้นจึงต้องฝากเงินเข้ามาเป็น USDT หรือคริปโตอื่นๆ แทน
เมื่อผู้ใช้งานได้เทรดเงินไทยบาทกับเว็บเทรดที่ซัพพอร์ตเงินไทยเพื่อแปลงสกุลเงินเป็นคริปโตแล้วก็สามารถกดที่ copy address เพื่อฝากเงินเข้ามาใน Binance ได้เลย
การถอน
ในส่วนของการถอนก็เลือก Address ที่เราต้องการจะฝากตรงช่อง Recipeint’s (…) Address (Address ผู้รับขึ้นอยู่กับเราจะถอนเหรียญอะไร) แล้วใส่จำนวนจากนั้นกด Submit แล้วรอเงินเข้า
การถอนทาง Binance นั้นจะรองรับการถอนสกุลเงินเฟียตเพียงแค่ 9 สกุลเงินเท่านั้น ดังนั้นผู้ใช้งานอย่างชาวไทยเช่นเราๆ ก็ต้องถอนเป็นคริปโตไป และไม่สามารถถอนเป็นเงินบาทได้
จากนั้นจะมีให้กดยืนยันถอนผ่านทางเบอร์มือถือ เนื่องจากผู้เขียนเปิดใช้งานการยืนยันสองขั้นตอนแบบให้ส่งรหัสเข้าเบอร์โทรศัพท์
จากนั้นก็จะมีหน้าต่างมาให้เรากดยืนยันในอีเมลเป็นขั้นตอนสุดท้าย
สำหรับระยะเวลาในการรอการอนุมัติการถอนเหรียญคริปโตนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 5-10 นาทีหลังจากที่กดยืนยันอีเมล์แล้ว และหลังจากนั้นคุณจะต้องรอให้มีการ confirm การโอนบนเครือข่าย Blockchain อีก ซึ่งแต่ละเหรียญนั้นก็จะมีเวลาที่แตกต่างกันไป
แอปพลิเคชั่น/การแจ้งเตือน
แอปพลิเคชั่นของ Binance นั้นมีให้บริการทั้งใน iOS และ Android สามารถซื้อขายคริปโต, ฝากถอนคริปโตผ่านทางแอปพลิเคชั่นได้ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญมากเพราะมันทำให้นักเทรดสามารถทำการซื้อขายคริปโตได้ตลอดและสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยตัวแอปก็จะมีหน้า Home, Markets, Trades, Funds และ Account
หน้าตาและดีไซน์ของแอพ Binance บนโทรศัพท์มือถือนั้นมีโทนค่อนข้างที่จะเป็นโทนมืด และดูเรียบง่าย มีฟังค์ชั่นต่าง ๆ ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามฟีเจอร์บางส่วนที่บนเว็บมีนั้นก็ถูกตัดออกไปเมื่อมาอยู่บน App อย่างเช่นระบบ Lending เป็นต้น
หน้า Markets
ในหน้านี้จะแสดงราคาของเหรียญคริปโตทั้งจากในตลาดสปอตและตลาดฟิวเจอร์ โดยจะแสดงคู่เทรดแบบเป็นลิสต์ที่ดูค่อนข้างง่าย
หน้า Trades
ผู้ใช้งานที่ดาวน์โหลดแอปสามารถทำการเทรดบนแอปได้ทั้งตลาดสปอต, มาร์จิ้น, ฟิวเจอร์และเงินเฟียต
หน้าพอร์ต
ฝากถอนเงินเข้ามาผ่านทางแอปก็ได้โดยกดเข้ามาในหน้านี้
หน้า Account
ส่วนหน้าบัญชีหรือ Account นี้ก็เอาไว้บอกข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ตามที่ปรากฏอยู่ในภาพ
ความปลอดภัย ความโปร่งใส
ระบบความปลอดภัยของ Binance นั้นมีให้ผู้ใช้งานเปิด 2FA, เปิด Anti-phishing Code ซึ่งเอาไว้แจ้งเตือนว่าการล็อกอินอีเมลของเรานั้นมาจากผู้ไม่ประสงค์ดีหรือเปล่า, และเปิด withdrawal whitelist ก็คือให้จดจำ Address ที่สามารถถอนได้ Binance นั้นได้รับมาตรฐานความปลอดภัย ISO/IEC 27001และ e CryptoCurrency Security Standard (CCSS)
แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ทาง Binance เคยถูกชุมชนคริปโตออกมาตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสเกี่ยวกับที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของพวกเขา เมื่อทางรัฐบาลของประเทศมัลต้าออกมาประกาศว่าบริษัท Binance นั้นไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพวกเขา ไม่ว่าจะทั้งทางภูมิศาสตร์ หรือด้านกฎหมายก็ตาม ซึ่งฟังดูเหมือนว่าบริษัท Binance นั้นไม่ได้มีตัวตนอยู่บนเกาะ Malta จริง ๆ ทว่าภายหลังจากนั้นนาย Changpeng Zhao หรือ CEO ของ Binance ได้ออกมากล่าวว่า
“Binance นั้นมีบริษัทที่จดทะเบียนตามกฎหมายจำนวนหนึ่งอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเปิดดำเนินการโดยหุ้นส่วนของเรา หรือทาง Binance.com โดยตรงก็ตาม พวกเราทำงานร่วมกับทางผู้ออกกฎหมายอย่างใกล้ชิด และทำตามกฎหมายกับในทุก ๆ ที่ ๆ เราเปิดทำการ”
“เว็บ Binance.com นั้นเปิดให้บริการในรูปแบบของ decentralized ดั่งที่ได้เห็นการให้บริการของพวกเราได้ใน 180 ประเทศทั่วโลก รวมถึงการผลักดันเพื่อทดสอบว่าเราจะเป็นองค์กรที่มีความเป็น decenrralized และดำเนินงานอย่างอัตโนมัติ (DAO) ได้อย่างไร”
สภาพคล่อง
ในแง่ของสภาพคล่องนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะว่าเป็นกระดานเทรดชั้นนำระดับโลกที่มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมหาศาลและเปิดให้บริการในพื้นที่แถบทวีปทั้งเอเชีย, ยุโปร, แอฟริกา โวลุ่มการซื้อขายเหรียญคริปโตนั้นก็มหาศาลเช่นกัน
ระบบซัพพอร์ต
ระบบซัพพอร์ตของ Binance นั้นมี 24 ชั่วโมงโดยหากเป็นคำถามที่พบบ่อยก็จะมีบอทคอยตอบ ซึ่งลักษณะของการแชทก็จะเป็นการทิ้งคำถามพื้นฐานเอาไว้ให้ผู้ใช้งานและจะมีบอทตอบกลับเบื้องต้นแต่หากว่ายังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ก็สามารถพิมพ์แชททิ้งไว้ได้เลย
บทสรุป
ข้อดีของ Binance คือเป็นเว็บเทรดที่ให้บริการครบเครื่องไม่ว่าจะเป็นเทรดสปอต, มาร์จิ้นหรือฟิวเจอร์ รวมถึงมีแอปพลิเคชั่นให้สามารถดาวน์โหลดไปใช้งานได้อย่างสะดวก ดีไซน์สวยถนอมสายตาคือสำหรับนักเทรดที่ต้องการเทรดหลายรูปแบบเข้ามาที่ Binance ก็ครบทุกอย่าง หรือแม้แต่จะ Convert เงินก็ตามและรองรับสกุลเงินในแถบประเทศไกลๆ เช่น รัสเซียหรือแม้แต่คาซัคสถาน
อย่างไรก็ตามข้อเสียของ Binance ซึ่งอาจจะมองว่าเป็นข้อเสียไปเลยก็ไม่ได้คือด้วยความที่เครื่องมือมีเยอะและหลากหลายอาจจะทำให้นักเทรดมือใหม่ใช้งานไม่เป็นอีกอย่างคือไม่สามารถที่จะเทรดคู่เงินบาทของเราได้เนื่องจากเว็บเทรด Binance เจาะกลุ่มตลาดโลก ดังนั้นนักเทรดไทยจะเทรดก็ต้องใช้เหรียญคริปโตมาเทรด
ในแง่ของความปลอดภัยหลังจากที่ทุกคนได้รับรู้กันว่าก่อนหน้านี้ทาง Binance นั้นเคยประสบปัญหาถูกแฮ็กครั้งใหญ่แต่ก็โชคดีที่บริษัทมีกองทุนเป็นหลักประกันเอาไว้และสามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ปกติ
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เคยถูกแฮคไปแล้ว และทำให้นักลงทุนไม่สามารถถอนเงินออกจากเว็บได้เป็นสัปดาห์ ส่งผลทำให้หลายคนต้องเสียโอกาสในการทำกำไรมากมาย ดังนั้นนี่จึงถือเป็นจุดที่ Binance เสียคะแนนในส่วนนี้ไป
ส่วนระบบความปลอดภัย Binance ก็พัฒนาให้มีระบบการยืนยันสองขั้นต่อหลายวิธีไม่ว่าจะเป็น Google Authenticator, SMS หรือ Yubi Key ที่ทางสยามบล็อกเชนเคยรีวิวเอาไว้แล้ว อย่างไรก็ตามไม่ว่าเว็บเทรดใดก็ไม่มีทางที่จะปลอดภัย 100% ดังนั้นแล้วนักเทรดควรที่จะเก็บเงินไว้ที่ตนเองปลอดภัยที่สุด โดยภาพรวม Binance ก็เป็นเว็บเทรดที่ควรสมัครใช้งานและเป็นที่นิยมไม่ว่าจะในแง่มุมของความครบครันในเครื่องมือการเทรดหรือสภาพคล่องและความปลอดภัยก็ตาม
สำหรับบุคคลที่สนใจเทรดเหรียญที่อยู่นอกเหนือจากกระดาน BX หรือ TDAX แล้วนั้นละ ก็เว็บ Binance ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะด้วยเว็บที่ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยากและยังมี App รองรับทั้ง Android และ iOS (Beta) อีกด้วย
คลิกที่นี่เพื่อสมัคร
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น