Bitcoin อาจจะใช้งานยากแม้จะมีเครื่องหลาย ๆ เครื่องมือที่มีความพยายามในการออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานง่ายกับต่อลูกค้า แต่ในแง่การทำงานโครงสร้างพื้นฐานของมันเป็นเรื่องที่ยากกว่ามาก อย่างไรก็ตามก็ยังมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้อยู่
กลุ่มนักพัฒนา ของ‘Bitcoin Core’ จะปล่อยตัว Software ครั้งที่ 17 ออกมาซึ่งคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง Code และปรับปรุง ตัว default wallet ซึ่งเป็นที่เก็บ Key ของผู้ใช้งาน Bitcoin
การอัพเดทที่น่าสนใจที่สุดอาจจะเป็นการเปิดตัว ‘ภาษาใหม่’ ครั้งแรกที่ออกแบบโดยนาย Pieter Wuille ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ที่มีอิทธิพลต่อการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง Bitcoin ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซึ่ง Segregated Witness ที่ช่วยแก้ปัญหาด้านความสามารถในการขยายระบบเพื่อรองรับการใช้งานของ Bitcoin (Bitcoin’s scalability problem) ก็ถือเป็นผลงานของเขาด้วยเช่นกัน
ความคิดที่จะเพิ่มภาษาใหม่เข้ามานั้นตั้งอยู่บนจุดประสงค์เพื่อเพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมให้กับ key ซึ่งในฐานะผู้สนับสนุน Bitcoin Core นั้น นาย Andrew Chow กล่าวว่ามันช่วยเพิ่มทางเลือกที่ดีให้กับระบบบัญชีผู้ใช้งานเพราะผู้ใช้งานจะสามารถตั้งชื่อบัญชีของตนได้ เช่น บัญชีบริจาคหรือบัญชีเงินเก็บ เป็นต้น
และความสำคัญของภาษาใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใหม่นี้อีกประการหนึ่งคือมันช่วยให้การเคลื่อนย้าย Key จากวอลเล็ทหนึ่งไปยังวอลเล็ทอื่นง่ายขึ้น ซึ่งในสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้คือเมื่อผู้ใช้งานต้องการที่จะย้าย Key จากวอลเล็ทหนึ่งไปยังวอลเล็ทอื่นมันจะส่งผลกระทบคือทำให้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับการปลดล็อคเหรียญและส่งไปให้กับผู้อื่นได้อย่างไรนั้นหายไป
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับการทำธุรกรรมหลาย ๆ ธุรกรรม ทั้งนี้ การทำธุรกรรมส่วนใหญ่จะมีคำแนะนำว่าเจ้าของต้องลงลายมือชื่อการทำธุรกรรมด้วย Secret Key เพื่อพิสูจน์ว่าเหรียญนั้นเป็นของตนจริง แต่มันก็ไม่จริงเสมอไปสำหรับการทำธุรกรรมทุกอย่าง เช่น การทำธุรกรรมที่ต้องลงลายมือชื่อหลายคนด้วยกันซึ่งต้องมีผู้พิสูจน์มากกว่าหนึ่งคนก่อนที่จะใช้จ่ายเหรียญได้ (multi-sig)
หรือการทำธุรกรรมผ่าน Lightning Network ที่เป็นการชำระเงินที่รวดเร็วกว่าอาจเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในกรณีนี้
การทำธุรกรรมผ่าน Lightning Network นี้เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ซึ่งการออกภาษามาใหม่นี้ก็เพื่อต้องการยืนยันว่าข้อมูลที่สำคัญจะไม่หายไปบ่อย ๆ
ภาษาใหม่ของนาย Wuille นั้นถูกออกแบบโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแท็กป้ายชื่อบ่งบอกแต่ละ Key ของบิทคอยน์ (ทั้งที่เป็นสาธารณะและส่วนบุคคล) โดยจะมีสัญลักษณ์บอกว่า key ไหนสามารถปลดล็อคได้บ้างซึ่งนับว่า “เป็นการเปลี่ยนแปลงแนวคิดของวอลเล็ทที่เราเคยรู้จัก” กล่าวโดยนาย John Newbery วิศวกรของ Chaincodeแม้ว่าการเปิดตัวครั้งใหม่นี้จะเป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ แต่การเปลี่ยนแปลง Code ครั้งแรกนี้จะเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน นาย Newbery ยังคาดหวังอีกด้วยว่านักพัฒนาที่เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา code ครั้งนี้ จะถือเป็นทีมที่จะช่วยเหลือการพัฒนาตัว code อื่น ๆ อีกในอนาคต
อนาคตของ Bitcoin Core
ในขณะเดี่ยวกัน แนวคิดการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ก็เริ่มที่จะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ซึ่งเป็นก้าวแรกที่เหล่านักพัฒนาคาดหวังไว้ว่ามันจะนำไปสู่สิ่งอื่น ๆ อีกในอนาคต
Partially Signed Bitcoin Transactions (PSBT) ก็เป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่ถูกคาดหวังไว้ว่าจะมีขึ้นในอนาคต นาย Chow กล่าว (PSBT เป็นการทำธุรกรรมรูปแบบใหม่สำหรับธุรกรรมที่ยังไม่ได้ sign ทั้งหมดแต่ก็ยังสามารถส่งมอบต่อไปได้จนกว่าจะมีการ Broadcast บน blockchain)
ทั้งหมดนี้ฟังดูค่อนข้างเป็นเรื่องเกี่ยวกับด้านเทคนิค แต่ความคิดนี้ค่อนข้างเป็นที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยและอาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานจำนวนมาก
ในตอนนี้ก็มี Hardware Wallet มีจำหน่ายในตลาดแล้ว ซึ่งเป็นอุปกรณ์เหล่านี้ได้รับการพิจารณาว่าปลอดภัยสำหรับการเก็บ Bitcoin เพราะมันสามารถเคลื่อนย้าย Key ที่สามารถปลดล็อคกระเป๋า wallet แบบออฟไลน์ได้ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถถูกขโมยผ่านทางการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้
แต่ Hardware Wallet แต่ละอัน รวมถึง Trezor, Ledger และอื่น ๆ นั้นค่อนข้างที่จะมีความ “เป็นตัวของตัวเองสูง” เพราะมันไม่สามารถใช้งานร่วมกับ Wallet แบบ software ทุก ๆ อันไปพร้อม ๆ กันได้
การใช้งาน Hardware Wallet ที่ง่ายที่สุดคือตั้งค่าให้มันเป็นออฟไลน์ จากนั้นเชื่อมต่อกับ Software Wallet บนมือถือเพื่อที่จะได้ทำธุรกรรมได้สะดวก
มันคงจะดีถ้าสามารถได้รับความปลอดภัยจาก Hardware Wallet ไปพร้อม ๆ กับได้รับความสะดวกจาก Software Wallet ไปพร้อม ๆ กัน แต่ปัญหาคือ Hardware Wallet แต่ละตัวนั้นส่วนใหญ่จะรองรับ software wallet เพียงแค่หนึ่งหรือสอง wallet เท่านั้น เช่น Trezor ก็รองรับแค่ Electrum Software Wallet แต่จะไม่สามารถเชื่อมต่อกับ Bitcoin Core หรือซอฟต์แวร์อื่น ๆ ได้เลย
ผู้ใช้งานก็ร้องทุกข์เกี่ยวกับปัญหาที่น่าเบื่อนี้มานาน ซึ่งตัวอัพเกรด BIP 174 ก็ได้มีการเสนอการปรับปรุงดังกล่าว ให้มันเป็นมาตรฐานที่ทุก ๆ วอลเล็ทสามารถใช้งานได้
มันขึ้นอยู่กับว่าวอลเล็ทนั้นจะเลือกฟังค์ชันดังกล่าวมาใช้จริงหรือไม่ แม้ว่า Code จะยังไม่ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่มันก็ดึงดูดความสนใจจากผู้สร้าง hard ware wallet เป็นอย่างมาก โดยมี Hardware Wallet เจ้าหนึ่งคือ Coldcardwallet นำวิธีการลงลายมือชื่อธุรกรรมมาใช้แล้ว
หากวอลเล็ทนำมาตรฐานนี้มาใช้จะทำให้ กระเป๋า Bitcoin Core สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้นเล็กน้อยเนื่องจาก Hardware Wallet จะสามารถเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์ได้โดยมีความสะดวกมากขึ้น
“PSBT จะช่วยให้ Bitcoin Core สามารถรองรับ Hardware Wallet ได้ง่ายขึ้นและมีการตั้งค่า Wallet แบบออฟไลน์และ Airgapped Wallet ได้ดีขึ้น “จริง ๆ ผมกำลังทำการรับรอง Hardware Wallet สำหรับ Bitcoin Core โดยใช้ PSBT” นาย Chow กล่าวกับทาง CoinDesk ซึ่งก็มีการถกเถียงว่า Bitcoin Core ปลอดภัยกว่ามากสำหรับการใช้ Bitcoin มากกว่า Software Wallet อื่น ๆ หรือไม่
“SPV wallet มีความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยเนื่องจากว่ามันเป็นการไว้ใจให้กับฝ่ายบุคคลที่สามทำการ verify Blockchain ได้ ดังนั้นเมื่อ Bitcoin Core รองรับ Hardware Wallet แล้วผู้ใช้ก็สามารถใช้ Bitcoin Core แทนและเนื่องจากมันเป็นรูปแบบของ Full node (กระเป๋าที่เก็บประวัติการทำธุรกรรมตั้งแต่อดีตยันปัจจุบัน) ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องไว้ใจให้บุคคลที่สามอื่น ๆ มา verify อีกต่อไป” เขากล่าว
การเปลี่ยนแปลง Code นำมาสู่ทางเลือกอื่น ๆ อีกมาก และแม้แต่การเพิ่มประสิทธิภาพของ Smart Contract ของ Bitcoin และรูปแบบความเป็นส่วนตัวอื่น ๆ “PSBT ทำให้การทำ multi-signs และ CoinJoins ทำได้ง่ายมากขึ้น” นาย Chow กล่าว
ท้ายที่สุด หนึ่งในผู้ใช้งานทวิตว่า “ตื่นเต้นที่จะเห็นการนำ BIP174 มาใช้”
และอื่น ๆ อีกมาก
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คือสิ่งที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์มีกำลังสร้างความตื่นเต้นให้กับกลุ่มผู้ใช้งาน แต่มีการอัปเกรดอื่น ๆ อีกหลายสิบแบบที่กำลังจะถูกเปิดตัวออกมา หนึ่งในนั้นคือฟีเจอร์ “Dynamic Wallet Creation”
“ก่อนหน้านี้พวกเราได้พัฒนาการใช้งาน wallet แบบหลาย ๆ ตัวภายใน Bitcoin Core มาแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม การจะใช้ฟีเจอร์นั้นจะต้องกำหนดการตั้งค่าสำหรับ Multiple Wallets ใน Bitcoin Core เสียก่อน แต่ตอนนี้เราสามารถโหลด อัพโหลดและสร้างวอลเล็ทได้ในซอฟต์แวร์ทันที” นาย Chow กล่าว
ในขณะเดียวกันคุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับ Coin Selection ซึ่งเป็นการรวมเอาเหรียญหลาย ๆ ตัวส่งเข้าไปในธุรกรรม ๆ เดียว ทำให้ระบบเครือข่ายของ Bitcoin มีการพัฒนามากขึ้น ซึ่งอาจถึงขั้นแก้ปัญหาการ scaling ได้ และรวมถึงลดค่าธรรมเนียมในการส่งลงได้อีกด้วยCode หลักสำหรับ Feature ใหม่นี้ถูกเพิ่มเข้าไปเมื่อประมาณ 6 เดือนที่แล้วและอัลกอริทึมนี้ก็มีจะมีการเพิ่มความเป็นส่วนตัวเมากขึ้นอีกเล็กน้อย
ส่วนรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงที่เหลือจะถูกอธิบายไว้ใน Final Release Note ที่จะปล่อยออกมาในเวลาเดียวกันกับ Tested Code
อาจจะดูเหมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยโดยเฉพาะเมื่อมีผู้คนจำนวนน้อยที่ใช้ Bitcoin และ Bitcoin Core ซึ่งไม่ต้องถามว่าทำไมถึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะในปัจจุบันนั้นตัวกระเป๋า Bitcoin Core ใช้พื้นเก็บข้อมูลธุรกรรม full node ที่ประมาณ 200 GB (และจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ) ดังนั้นการดาวน์โหลดและใช้งานจึงใช้เวลานานมาก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้อาจทำให้ลดปัญหาดังกล่าวลงได้ส่วนหนึ่ง
ที่มา: CoinDesk
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น