<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เจาะลึก: ปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังการเทขาย และมูลค่าที่ลดลงของตลาดในช่วงที่ผ่านมา

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

การร่วงลงเกิดจากหลายปัจจัยเช่น การ Hard Fork ของ Bitcoin Cash, การตกใจขาย และความไม่แน่นอนในกฎหมายและวงการคริปโต

เมื่อ 10 วันที่ผ่านมาตลาดคริปโตได้ร่วงลงอย่างหนักจากการเทขายจนทำให้ราคา Bitcoin ร่วงลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 4,297 ดอลลาร์ และ Altcoins สกุลอื่น ๆ ก็ร่วงลงอย่างหนักเช่นกัน

นักลงทุนทั่วตลาดต่างรู้สึกสิ้นหวังและเริ่มตั้งคำถามว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเทขายที่หนักขนาดนี้ได้ ซึ่งทาง Cointelegraph ได้ทำการรวบรวมข้อมูลและสรุปออกได้หลัก ๆ ดังนี้

การ Hard Fork ของ Bitcoin Cash

การทะเลาะกันภายในชุมชน Bitcoin Cash ทำเกิดสภาพตลาดที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ถูกกดดันหนักขึ้นไปอีกจนทำให้เกิดผลแง่ลบดังที่เห็น นาย Tom Lee หัวหน้าฝ่ายวิจัยจาก Fundstrat ได้วิเคราะห์ว่า สงครามกำลังขุดที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาของเครือข่าย Bitcoin Cash เป็นตัวจุดชนวนทำให้ตลาดเกิดควาไม่แน่นอน เมื่อนักลงทุนเห็นท่าไม่ดีเลยทำการถอนเงินออกจากตลาด

เขายังชี้ด้วยว่า ในด้านกฎหมายเองจาก SEC หรือก.ล.ต. ของสหรัฐฯ ก็ส่งผลเช่นกัน ล่าสุดพวกเขาได้ทำการดำเนินทางกฎหมายกับ ICO หลาย โปรเจกต์ และกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ก็ได้เริ่มเข้าสืบสวนว่า Tether กำลังควบคุมราคา Bitcoin อยู่รึเปล่าอีกด้วย

ตลาดรอบข้าง

ความจริงแล้ว ในช่วงนี้ ไม่ใช่แค่ตลาดคริปโตที่ร่วงเพียงอย่างเดียว นาย Mati Greenspan นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสจาก eToro ก็ได้ออกมาชี้ให้เห็นว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ร่วงลงเช่นกันตามลำดับรูปข้างล่าง (Nasdaq, S&P 500, Dow Jones)

รวมทั้งธนาคารกลางยังเริ่มมีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งส่งผลกระทบไปยังทุกตลาดและการค้าระดับโลกอีกด้วย

“มันมีเรื่องราวต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้นในตอนนี้ แต่ผมรู้สึกว่า ปัจจัยหลัก ๆ ที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นคือ การที่ร่วงลงของราคาในกราฟและวัฎจักรเศรษฐกิจมหาภาคระดับโลก”

ปริมาณการเทรดที่ต่ำ และความไม่แน่นอนที่สูง

หากลองดูก่อนที่ราคามันคริปโตจะไหลลงมา Bitcoin พยายามที่จะรักษาระดับ 6,000 ดอลลาร์เอาไว้ได้หลายครั้ง แต่ดูเหมือนปริมาณการเทรดในตลาด และความไม่แน่นอนในตลาดจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการ Sideway ทำให้เกิดการเทขายในที่สุด

นาย Gabor Gurbacs ผู้บริหารของ VanEck ให้ความเห็นกับการเทขายที่เกิดขึ้นว่า

“ในเดือนที่ผ่านมา Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นค่อนข้องคงที่ ในขณะที่ตลาดอื่น ๆ เช่นตราสารหนี้เจอกับการปรับฐาน ความวุ่นวายที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้มาจากการเทขายท้ายปี (บริษัทต้องการที่จะทำการปิดบัญชีในรอบปี) และความวุ่นวายของ Bitcoin Cash”

กล่าวคือ นักวิเคราะห์จำนวนมากคิดว่า ความวุ่นวายของ Bitcoin Cash ทำให้มีความไม่แน่นอน ซึ่งส่งผลให้เกิดปริมาณการเทรดที่ต่ำ และก่อให้เกิดการเทขายแบบ Panic (ตกใจ) อีกรอบหนึ่ง

นอกเหนือจากประเด็นของความไม่แน่นอนแล้ว นาย Vinny Lingham ผู้ประกอบการในวงการ Blockchain ยังวิเคราะห์ด้วยว่า Bitcoin อาจจะไม่สามารถไปยืนในระดับ 6,000 ดอลลาร์ได้ในปี 2018 เนื่องจาก:

“ตลาดต้องหาและพิสูจน์ให้เห็นว่า โปรเจกต์ต่าง ๆ สามารถใช้งานได้จริง บริษัทที่สร้างนวัตกรรมบน Blockchain ต้องทำให้คนอื่นรู้ว่ามีประโยชน์จริง อุตสาหกรรมต้องถูกยอมรับมากขึ้นในปี 2019 มากกว่าโครงการนำร่องต่าง ๆ และสร้างมูลค่าจริง ๆ ภาพรวมจะเปลี่ยนไปเลยถ้าบริษัทสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาใช้งานจริงได้ เนื่องจากจะดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ นอกวงการ และทำสร้างความแตกต่างให้เห็นได้ ซึ่งใครที่ไม่สามารถทำได้ ก็จะล้มหายตายจากไป”

ภาพรวมในระยะสั้น

การทำนายราคาสำหรับวงการคริปโตนั้นเป็นเรื่องที่ยากเสมอ แต่นักวิเคราะห์เก่งก็สามาถคาดเดาได้ระดับหนึ่งจากการดูที่การเคลื่อนที่ของราคาและกราฟ

อ้างอิงจากนาย Greenspan เขาเชื่อว่าในอีก 6 สัปดาห์ข้างหน้า มันยังเป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง

“มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำการทำนาย ในตอนนี้ Bitcoin ได้ร่วงลงไปต่ำกว่าระดับจิตวิทยาที่ 5,000 ดอลลาร์ แต่ระดับต่อไปที่เราจะเห็นคือ 3,000 ดอลลาร์ มันอาจจะไปไม่ถึงตรงนั้น และถ้ามันกลับตัวได้ ก็อาจจะเป็นสัญญาณกระทิงอีกครั้งก็เป็นได้ เนื่องจากนักลงทุนระดับสถาบันก็คงเริ่มทยอยซื้อบ้างแล้วในราคานี้”

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้ที่เชื่อมั่นและยืนกรานว่าปลายปีนี้ต้องเป็นขาขึ้นแน่นอน เช่นนาย Tom Lee ได้ออกมาทำนายอย่างมั่นใจว่า Bitcoin จะพุ่งขึ้นไป 15,000 ดอลลาร์ จากเงินที่ไหลเข้ามาของนักลงทุนระดับสถาบัน

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น