อีกหนึ่งจุดที่ทำให้หลาย ๆ คนหลงใหลในตัวของ Bitcoin อาจจะเป็นเพราะว่ามันมีเรื่องราวที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวเหมือนหลุดมาจากในนิยายตรงที่ไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่า ใครกันแน่เป็นผู้สร้างมัน บ้างก็บอกว่า มันถูกสร้างโดยกลุ่มคน บ้างก็บอกว่า ผู้สร้างมีเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วที่ Bitcoin ถือกำเนิดขึ้นมา จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่รู้เลยว่า ตัวตนของผู้สร้างที่แท้จริงคือใครกันแน่
Bitcoin นั้นถูกออกแบบให้เป็นซอฟต์แวร์แบบ Open-source และมันถูกปล่อยสู่สาธารณะในปี 2009 โดยมีแนวคิดของความโปร่งใสป็นหลัก มันทำหน้าที่เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่บัญชีทั้งหมดในเครือข่ายนั้นสามารถถูกตรวจสอบได้โดยสาธารณะแตกต่างจากของระบบธนาคาร
แต่ถึงแม้ตัวระบบจะแสดงความโปร่งใสแค่ไหนก็ตาม มันก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังคลุมเครือเป็นความลับมาตลอดนั่นก็คือ
“ใครกันแน่ที่เป็นคนสร้าง Bitcoin และใครคือ Satoshi Nakmoto?”
การหาคำตอบสำหรับคำถามนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เรารู้เพียงว่าโค้ดที่สร้าง Bitcoin นั้นถือกำเนิดหรือสร้างมาจากผู้ที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto และหลาย ๆ คนก็คาดการณ์ว่า โปรเจกต์นี้ไม่ได้ทำคนเดียวแน่ ๆ นักพัฒนา Bitcoin ในยุคแรก ๆ เลยถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นหนึ่งใน ‘Satoshi Nakamoto’ ก็ได้ แต่การที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่า คน ๆ นั้นเป็นผู้สร้าง Bitcoin นั้นมีปัญหามากมายเช่นกัน
โค้ดของ Bitcoin
หากต้องการสืบต้นตอจริง ๆ ก็ควรเริ่มจากอะไรที่เราเห็นว่าเป็นความจริงก่อน เช่น โค้ดของ Bitcoin ในปี 2007 นั้น Nakamoto ได้ทำการเขียนโค้ดของมันขึ้น หลังจากนั้นหนึ่งปีให้หลังในเดือนพฤศจิกายน 2008 Nakamoto ก็ได้ทำการเผยแพร่ Whitepaper ของ Bitcoin ที่อธิบายพื้นฐาน Protocol ทั้งหมดของ Bitcoin
ในวันที่ 3 มกราคม 2009 Bitcoin Block แรกถูกขุดโดยสมบูรณ์ และเจ้าเหรียญเปลี่ยนโลกตัวนี้ก็ถือกำเนิดขึ้น พร้อมทั้งมีข้อความลับข้างใน Block นั้นว่า:
“The Times 03/Jan/2009 Chancellor on brink of second bailout for banks” ซึ่งเป็นการบันทึกเวลาอย่างชาญฉลาดด้วยการใส่พาดหัวในนิตยสาร The Times ที่เป็นการกล่าวถึงความล้มเหลวธนาคารที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจพังในขณะนั้น
Satoshi นั้นมีส่วนสำคัญในการสร้างชุมชน Bitcoin เป็นอย่างมาก เช่นการประสานงานกับชุมชนคริปโตเพื่อที่จะปรับแต่ง Protocol ของ Bitcoin ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แต่หลังจากที่ตอบโต้ช่วยเหลือกันเป็นเวลา 2 ปี Nakamoto ก็ได้หายไป และมอบหน้าที่ให้นาย Gavin Andresen ดูแลโปรเจกต์ Bitcoin ต่อโดยเขาได้เลิกยุ่งกับ Bitcoin อย่างเด็ดขาดในเดือนธันวาคม 2010
ในกลางปี 2011 Nakamoto ได้หวนกลับมาพร้อมทิ้งข้อความสุดท้ายไว้ว่า “ได้เดินหน้าไปทำสิ่งอื่นแล้ว” และ Bitcoin นั้น “ก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากนาย Gavin Andresen และทุก ๆ คนแล้ว” ก่อนที่จะหายไปกับกลีบเมฆตลอดกาล
จากจุดนั้นเอง ทำให้เรื่องราวความลึกลับในตัวตนของ Nakamoto นั้นแผ่ขยายออกไปเรื่อย ๆ และชุมชน Bitcoin ก็เริ่มสงสัยว่า ใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ มีช่วงหนึ่งที่ Satoshi Nakamoto ถูกเคลมว่าเป็นชาวญี่ปุ่น และเกิดในวันที่ 5 เมษายน 1975 แต่มาจนถึงวันนี้ เราก็ยังไม่รู้เลยจริง ๆ ว่า Nakamoto นั้นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เป็นบุคคลเดียวหรือเป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันสร้างกันแน่
นักพัฒนาในยุคแรก ๆ อาจเป็น Nakamoto ได้
ในปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มรู้จักและชินกับเงินดิจิทัลแล้วเนื่องมาจากตลาดขาขึ้นในปี 2017 แต่ทว่าในปี 2008 ที่อะไรหลาย ๆ อย่างเพิ่งเริ่มต้นนั้น วงการ Cryptocurrency นั้นยังเล็กกว่านี้มาก ทำให้มั่นใจได้ระดับหนึ่งเลยว่า ผู้คนที่เรากำลังจะวิเคราะห์ด้านล่างว่าเป็น Satoshi Nakamoto นั้น หลาย ๆ คนต้องรู้จักกันอย่างแน่นอน
อย่างในกรณีของนาย David Kleiman และดร. Craig Wright นั้นก็มีหลักฐานชัดเจนเลยว่า ทั้งสองทำงานร่วมกันเพื่อที่จะพัฒนา Bitcoin ในช่วงแรก ๆ และมี Bitcoin อยู่จำนวนที่เยอะมาก ๆ จนมีดราม่าระหว่างทั้งสองคนเกิดขึ้นเช่น ดร. Wright นั้นมี Bitcoin ที่หลาย ๆ คนคาดว่าควรจะเป็นของนาย Kleiman จนทำให้เป็นชนวนฟ้องร้องกันเกิดขึ้นในภายหลังระหว่างครอบครัวของนาย Kleiman และนาย Craig Wright
แต่ล่าสุดนาย Kleiman นั้นก็ได้เสียชีวิตลงแล้ว และนั่นจะทำให้มหากาพย์ผู้สร้าง Bitcoin ยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีกเนื่องจากเบาะแสที่จะสานไปสู่ Satoshi Nakamoto นั้นหายากขึ้นไปอีก
ในตอนต้น ๆ ที่ Bitcoin ถูกขุดขึ้นมานั้น ไม่มีใครสนใจไยดีอะไรกับมันเลย ดังที่เคยมีการนำ Bitcoin จำนวน 10,000 BTC ไปซื้อพิซซ่าสองถาดก็มี คำถามเกี่ยวกับความลึกลับของ Bitcoin นั้นยังคงวนเวียนอยู่ในวงการคริปโต และยิ่งเวลาผ่านไป มันก็ยิ่งหาคำตอบยากขึ้นเรื่อย ๆ
อาจเป็นชาวอังกฤษ ?
ถึงแม้ตัวตนของ Nakamoto จะยังไม่แน่ชัด แต่หนึ่งในสิ่งที่ผู้สืบหานำมาวิเคราะห์อยู่ปล่อยครั้งก็คือ พื้นหลังของเขา
จากการเขียนในเว็บบอร์ดหลายแห่ง จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า Nakamoto นั้นใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นเจ้าของภาษาเอง ไม่ว่าจะเป็นในโพสต์ หรือบน White Paper ก็ตาม เลยทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า Nakamoto อาจไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นก็เป็นได้
นอกจากนี้ การใช้ภาษาอังกฤษแบบสหราชอาณาจักรในบางครั้งของเขาในโค้ด และคอมเมนต์ยังจุดประจายให้เพ่งเล็งว่า เขาอาจเป็นผู้ที่พูดภาษาอังกฤษตั้งแต่กำเนิดก็เป็นได้
อีกจุดที่น่าสนใจคือ นาย Stefan Thomas นักเขียนโค้ดชาวสวิส และสมาชิกที่ใช้งานเว็บบอร์ด Bitcoin เป็นประจำ ได้ทำการรวบรวมข้อมูลมาจาก 500 กว่าโพสต์ เพื่อนำมาสร้าง Timeline วิเคราะห์เวลาในการโพสต์ของ Nakamoto ซึ่งชี้ให้เห็นว่า มักจะหยุดโพสต์ในเวลาประมาณเที่ยงคืน ถึง 6 โมงเช้าในเวลาเขต Greenwich ทำให้เจาะจงได้ไปอีกว่า Nakamoto นั้นอาจอยู่ในช่วง Timezone ไหนของโลก
Nik Szabo
ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ได้มีการตั้งแง่หลายคนมากว่าใครกันแน่เป็นผู้สร้าง Bitcoin และหนึ่งในผู้ที่เข้าข่ายก็คือนาย Nick Szabo ผู้ที่ศรัทธาในคริปโตอย่างแรงกล้า และเคยตีพิมพ์วิจัยนาม “Bit Gold” มาแล้ว
หลังจากที่ทำการวิเคราะห์สไตล์การพิมพ์ นาย Skye grey นักวิเคราะห์ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตพบว่า สไตล์การพิมพ์บางจุดของ Nakamoto ใน Whitepaper นั้นไปตรงกับนาย Szabo แต่นาย Szabo ก็เคยออกมาปฏิเสธหลายครั้งหลายคราวแล้วว่า เขาไม่ได้เป็นผู้สร้าง Bitcoin แต่อย่างใด
ถึงแม้เขาจะปฏิเสธไปหลายรอบก็ตาม แต่สไตล์การเขียน Whitepaper ของ Bitcoin นั้นเหมือนกับสไตล์การเขียนของนาย Szabo มาก ๆ และอีกจุดที่น่าสนใจคือ Satoshi Nakamoto นั้นเคยอ้างอิงถึงแนวคิดของ Bit Gold หลายครั้ง แต่ไม่ได้เป็นการพูดถึง Bit Gold โดยตรง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีความคล้ายคลึงกันในสไตล์การเขียน มันก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่แน่ชัดเลยจริง ๆ ว่า นาย Szabo นั้นเป็นผู้สร้าง Bitcoin และเขาเองก็เคยยืนกรานปฏิเสธหลายครั้งแล้วด้วยว่าไม่ได้เป็นผู้สร้างจริง ๆ ยกเว้นแต่ว่า เขาตั้งใจที่จะปกปิดหลักฐานของตัวเอง
Dorian Prentice Satoshi Nakamoto
อีกหนึ่งคนที่อาจเป็น Nakamoto ได้นั้นก็คงหนีไม่พ้นนาย Dorian Premtoce Satoshi Nakamoto ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยในสหรัฐฯ เขาถูกหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นในเดือนมีนาคม 2014 ที่ถูกสำนักข่าวชี้ว่า อาจเป็นผู้สร้าง Bitcoin ก็เป็นได้ โดยในตอนนั้นเขาทำงานเป็นนักฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Cal Poly
เขาถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเป็น Satoshi Nakamoto อย่างมาก เพราะสำนักข่าวเคยไปสัมภาษณ์และเขาก็ตอบคำถามว่า:
“ผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับมันแล้ว และผมไม่สามารถพูดถึงมันได้ มันถูกส่งต่อไปให้คนอื่นแล้ว คนอื่นกำลังดูแลมันอยู่ ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอีกต่อไปแล้ว”
ด้วยถ้อยคำนี้ที่สำนักข่าวนำเสนอออกมา ทำให้เกิดกระแสอันรุนแรงในสังคมออนไลน์และสื่อ จนกระทั่งมีการขับรถไล่ตามเขาเลยทีเดียว
แต่ในเวลาต่อมา เมื่อถูกสัมภาษณ์อีกครั้ง เขาได้ทำการชี้แจงว่า ที่ตอบไปแบบนั้นเพราะเข้าใจคำถามผิด คิดว่าเกี่ยวกับงานทหารที่เขาเคยทำ เลยทำให้กระแสดับลงไป
David Kleiman
นาย David Kleiman นั้นมีเรื่องราวความเป็นมาที่น่าสนใจมาก เขาเคยมีส่วนร่วมในการพัฒนา Bitcoin ในช่วงแรก ๆ และเป็นหนึ่งในนักขุด Bitcoin คนแรก ๆ เขามีพื้นฐานความสนใจในด้านความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ และเคยออกแบบระบบที่ถูกนำไปใช้โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ในขั้นสูง ๆ เพื่อที่จะคุ้มกันระบบดิจิทัล
หลังจากที่เขาเป็นอัมพาตที่ขาจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ นาย Kleiman ก็ได้สนใจและเดินหน้าตรงดิ่งเข้าสู่โลกของการเข้ารหัส (Cryptography) จนในเวลาต่อมามีชื่อเสียงมาก ๆ ในวงการ Cryptography และในจุดนั้นเองที่อาจจะทำให้เขาเริ่มรู้จักกับ Whitepaper ของ Bitcoin เข้า
อีกหนึ่งทฤษฎีที่ถูกสันนิษฐานคือ เขาและดร. Craig Wright นั้นเป็นจุดศูนย์กลางของโปรเจกต์ อ้างอิงจาก Gizmodo เว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยีชื่อดัง ที่ได้มีการอ้างอิงอีเมลที่เชื่อว่า ดร. Wright ส่งไปให้นาย Kleiman:
“ผมต้องการความช่วยเหลือของคุณในการแก้ไข Paper ที่ผมกำลังจะปล่อยในปีนี้ ผมได้ทำโปรเจกต์ที่เป็นเงินอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบใหม่อยู่ Bit Cash, Bitcoin…” และปิดท้ายด้วย “คุณมักจะคอยช่วยเหลือผมอยู่เสมอ ๆ Dave ผมอยากให้คุณเป็นส่วนหนึ่งกับมันนะ”
อีเมลดังกล่าวนี้ถูกเคลมว่า ได้มีการส่งเกิดขึ้นในไม่กี่เดือนก่อนที่ Whitepaper ของ Bitcoin จะถูกปล่อยออกมา ซึ่งอาจทำให้มันเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการค้นหาตัวตนที่แท้จริงของ Satoshi Nakamoto
อย่างไรก็ตาม น่าเศร้าใจที่นาย Kleiman ได้เสียชีวิตในปี 2013 ด้วยเหตุผลที่ค่อนข้างลึกลับ ส่งผลให้หลักฐานเกี่ยวกับตัวตนของ Nakamoto นั้นหายไปอีกหนึ่งคน และหากดูจากความรู้ในด้านการเข้ารหัสและความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์แล้ว ข้อมูลอะไรต่าง ๆ ในรูปแบบดิจิทัลที่เขาเหลือไว้นั้นก็คงเป็นเรื่องยากมาก ๆ ที่จะเข้าถึงได้
Hal Finney
นาย Hal Finney นั้นเป็นอีกหนึ่งผู้ต้องสงสัยอีกคนที่อาจเป็น Satoshi Nakamoto ได้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเข้ารหัส (Cryptographic) ก่อนที่ Bitcoin จะถือกำเนิดขึ้นมาเสียอีก และเป็นคนที่สองรองมาจาก Nakamoto ที่คอยพัฒนาซอฟต์แวร์, รายงานบั๊ก และแนะนำว่า ควรพัฒนาตรงไหน
นาย Finney นั้นเป็นคนแรกที่ได้รับ Bitcoin และเคยให้สัมภาษณ์ว่า:
“ผมเป็นคนแรกที่ได้รับการทำธุรกรรมแรกของ Bitcoin ในตอนที่ Satoshi ส่งเหรียญให้ผม 10 เหรียญเป็นการทดสอบ”
นาย Andy Greenberg นักข่าวจาก Forbes ได้ทำการขอให้ Joula&Associates ผู้ให้คำปรึกษาด้านการเขียน วิเคราะห์และคาดเดาว่า นาย Greenberg นั้นอาจจะเคยเป็น Ghostwriter (คนเขียนหนังสือแต่ในนามคนอื่น) ให้กับ Satoshi Nakamoto ก็เป็นได้
นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ประเด็นนี้น่าสนใจขึ้นไปอีกคือ เขาเคยทำงานร่วมกับนาย Nick Szabo และมีบ้านอยู่ห่างกับนาย Dorian Prentice Satoshi Nakamoto ไปเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น
นาย Finney ได้เสียชีวิตในวันที่ 28 สิงหาคม 2014 ทำให้หลักฐานเกี่ยวกับ Satoshi Nakamoto อีกแห่งหนึ่งหายไปกับเขา แต่ก็เรียกได้ว่า เขานั้นมีโอกาสที่จะมีเกี่ยวโยงกับ Nakamoto อยู่มาก
Craig Wright
อีกหนึ่งคนที่ไม่สามารถมองข้ามได้เลยคือ ดร. Craig Wright นักวิชาการชาวออสเตรเลีย, ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และผู้ประกอบการ
ในพฤศจิกายนปี 2015 Gizmodo ได้รับอีเมลนิรนามไม่ทราบชื่อที่มีการระบุว่า เขารู้ว่าดร. Craig Wright เป็นผู้สร้าง Bitcoin และเคยทำงานให้กับเขาอีกด้วย
ในวันที่ 9 ธันวาคมปีเดียวกันนั้น Wired สื่อออนไลน์เจ้าใหญ่เชื่ออย่างปักใจและเผยแพร่ว่า ดร. Wright คือ Satoshi Nakamoto แน่ ๆ จนทำให้ตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลียถึงกับบุกไปที่บ้านเขา
หลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น เขาได้ทำการลบตัวตนออกจากโลกอินเทอร์เน็ตจนกระทั่งเดือนพฤษภาคม 2016 ดร. Wright ได้หวนกลับมาอีกครั้งพร้อมประกาศตัวผ่าน Twitter ว่าเขาเป็นผู้สร้าง Bitcoin และเคลมว่ามีหลักฐานรองรับด้วย จนทำให้ชุมชนคริปโตตั้งข้อสงสัยเป็นอย่างมาก และร้องขอให้เขาทำการพิสูจน์
อย่างไรก็ตาม ดร. Wright ไม่ได้ทำการ “พิสูจน์หลักฐาน” ที่เขาเคลมว่า มีแต่อย่างใด โดยให้เหตุผลว่า “ไม่มีความกล้ามากพอ” ที่จะพิสูจน์ตัวตน จนกลายเป็นประเด็นที่คนหมดความสนใจในเวลาต่อมา
มูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดของ Satoshi Nakamoto
เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก ๆ ในยุคที่ข้อมูลต่าง ๆ สามารถเชื่อมหาเข้ากันได้ทั้งโลกแล้ว แต่ตัวตนของ Satoshi Nakmoto ก็ยังคงถูกปกปิดอยู่ คำถามที่อาจตามมาก็คือ ทำไมการค้นพบตัวตนของเขาถึงมีความสำคัญมาก หากลองพิจารณาดู จะพบว่า ถ้า Nakamoto เป็นบุคคลไม่ใช่เป็นกลุ่มคน เขาจะครอบครอง Bitcoin 5 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด ทำให้เขาเป็นผู้ที่รวยที่สุดในโลกเป็นอันดับที่ 52 เลย หากอ้างอิงจากราคาในช่วงเดือนธันวาคม 2017
อีกหนึ่งจุดที่ควรสนใจคือ หากวันดีคืนดี Nakamoto ปรากฎตัวมาอีกครั้ง และทำการขาย Bitcoin ที่ถูกลือว่ามีทั้งหมด 980,000 BTC (มูลค่า 3.9 พันล้านดอลลาร์ หรือ 124.39 พันล้านบาท อ้างอิงราคาวันที่ 18 มีนาคม 2019) ราคาของ Bitcoin ก็จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จนอาจทำให้ถึงจุดจบของตลาดคริปโตทั้งหมดแน่นอน
Satoshi Nakamoto คือศัตรูตัวฉกาจของหลาย ๆ คน
ในปัจจุบัน ระบบการเงินของเรานั้นยังห่างไกลกับคำว่าสมบูรณ์ เพราะมันยังมีช่องโหว่เต็มไปหมด จนทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในหลาย ๆ ครั้ง การที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งสามารถคุมการสร้างเงินได้นั้นทำให้พวกเขาควบคุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ได้ เช่นการสร้างเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ด้วยเหตุนี้เอง แนวคิดของ Bitcoin เลยตรงกันข้ามกับธนาคารกลางทั่วไปที่สามารถเข้าไปแทรกแซงในระบบได้ เพราะเป็นการกำจัดตัวกลางเหล่านั้นทิ้งไป ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า แนวคิดของเงิน หรือระบบการเมืองแบบ Decentralized นั้นก็มักจะถูกต่อต้านโดยองค์กรใหญ่ ๆ อยู่มากมาย เพราะมันอาจสั่นคลอนอำนาจของพวกเขาได้
Satoshi Nakamoto เคยเขียนไว้ใน Whitepaper ของ Bitcoin ว่า:
“รากเหง้าของปัญหาทั้งหมดของสกุลเงินทั่วไปคือ มันจำเป็นต้องใช้ความเชื่อใจเพื่อที่มันจะถูกนำไปใช้งานได้ ธนาคารกลางนั้นต้องได้รับความเชื่อถือให้ดูแลสกุลเงินนั้นอย่างถูกต้อง แต่ประวัติศาสตร์ของเงินกระดาษนั้นสอนให้รู้แล้วว่า มันไม่ได้เป็นตามนั้น ธนาคารจำเป็นต้องได้รับความเชื่อใจให้ถือเงินและโอนเงินให้เราแบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่พวกเขากลับนำเงินเหล่านั้นไปปล่อยกู้ทำให้เกิดฟองสบู่เครดิต แต่กลับมีเก็บสำรองจริง ๆ เก็บไว้เพียงเศษเสี้ยวเดียว แต่เราก็จำเป็นต้องเชื่อใจพวกเขา โดยการให้ข้อมูลที่เป็นส่วนตัวของเรา และไว้ใจพวกเขาเพื่อไม่ให้โจรเข้ามาขโมยเงินของเรา”
ในปี 2008 นั้น ไม่มีใครจะเล็งเห็นหรือเชื่อเลยว่า Satoshi Nakamoto จะมาเป็นภัยต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมโลกได้ แต่ในวันนี้ ประเด็นนั้นอาจไม่ได้เป็นจริงอีกต่อไปแล้ว เพราะประเทศมหาอำนาจเช่นจีนก็ได้ทำการแบนคริปโตอย่างเด็ดขาด และพันธมิตรธนาคารกลางตะวันตกก็ต่อต้านการแพร่หลายของคริปโตอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่า Satoshi Nakamoto จะเป็นใครก็ตาม มันอาจจะเป็นเรื่องดีแล้วก็เป็นได้ที่เขายังคงปกปิดตัวตนไว้ เพราะแนวคิดที่ว่าเงินกระดาษนั้นสามารถถูกแทนที่ได้ด้วยระบบที่ลดความสำคัญของหน่วยงานกลางอยู่ได้นั้นถือว่าเป็นอันตรายต่อผู้ที่กุมอำนาจอยู่มาก ใครก็ตามที่เป็นคนริเริ่มแนวคิดของสังคมแบบ Decentralized นั้นย่อมมีโอกาสที่จะเจอกับการโต้กลับจากอีกฝั่งอย่างรุนแรงได้เช่นกัน
ปัญหาการ Scaling
ถึงแม้ Bitcoin จะถูกคาดหวังให้เป็นสกุลเงินยุคใหม่ที่มาแทนที่ระบบดั้งเดิม แต่มันก็ยังคงมีปัญหาที่ต้องแก้ไขอยู่ อย่างปัญหาที่ใหญ่ที่สุดเช่น การที่มีปริมาณการทำธุรกรรมที่เยอะมากในเครือข่าย จนทำให้มันทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เช่นมีค่าธรรมเนียมสูง และใช้เวลาในการทำธุรกรรมนานกว่าปกติ ซึ่งจะสามารถถูกแก้ไขได้ด้วยการ เพิ่มขนาด Block หรือใช้ Layer ชั้นที่สองเช่น Lightning Network เป็นต้น
การเพิ่มขนาด Block นั้นจะทำให้ปัจจัยพื้นฐานของ Bitcoin นั้นพัฒนาขึ้น โดยมันจะทำให้ระบบสามารถทำธุรกรรมได้รวดเร็วมากขึ้น แต่ก็มีหลายฝ่ายออกมาแย้งว่า มันอาจจะไม่ใช่ทิศทางที่ถูกต้องตามที่ Satoshi Nakamoto คาดหวังไว้ บางคนเชื่อว่าการที่เขาหวนกลับมาช่วยชี้แนะอีกครั้งก็คงจะดีไม่น้อย เพราะจะได้มีความชัดเจนในอดุมการณ์มากขึ้นนั่นเอง
สรุป
ชุมชน Bitcoin นั้นก็ยังคงอยู่กับความคลุมเครือของ Satoshi Nakamoto ต่อไปอย่างปฏิเสธไม่ได้ และก็ไม่รู้อีกนานแค่ไหนว่าความลับนี้ถึงจะได้รับการเปิดเผย
และหากในอนาคต Nakamoto ตัดสินใจที่จะเปิดเผยตัวตนจริง ๆ ก็อาจจะเจอกับข้อกังขา, คำถาม และอะไรอีกมากมายจากทั้งวงการคริปโตและโลก เช่นเดียวกับที่ Candidate เจอ หรืออาจตกเป็นเป้าที่อันตรายถึงชีวิตก็ได้ เพราะไปสั่นคลอดผู้กุมอำนาจในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าสนใจที่สุดของ Bitcoin ก็ยังคงเป็นความ Decentralized ของมันในระดับที่ผู้สร้างหยุดเข้ามายุ่งเกี่ยวตั้งแต่เมื่อปี 2011 ไปแล้ว แต่สกุลเงินนี้ก็ยังพัฒนาอย่างต่อเนื่องได้โดยชุมชนผู้ใช้งาน ทำให้เห็นว่า สักวันหนึ่งมันอาจกลายเป็นสกุลเงินระดับโลกที่ได้รับการยอมรับจริง ๆ ก็เป็นได้
อ้างอิงข้อมูลจาก blockonomi
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น