เมื่อเร็ว ๆ นี้ธนาคารแห่งประเทศจีนได้ออกพันธบัตรพิเศษเป็นจำนวน 20,000 ล้านหยวน (2.8 พันล้านดอลลาร์) เพื่อกระตุ้นในเกิดการระดมทุนในองค์กรขนาดเล็กหรือธุรกิจขนาดเล็ก อ้างอิงจากเครือข่ายการพัฒนาของจีน
การออกพันธบัตรมูลค่า 28,000 ล้านหยวนเมื่อเร็วๆนี้ ดูเหมือนจะมีการคาดหวังไว้อย่างยิ่งใหญ่ว่ามันจะเป็นเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า โดยเมื่อเราได้พิจารณาจากยอดรวมสินเชื่อขนาดเล็กของธนาคารและองค์กรขนาดเล็กไว้ที่มูลค่าราว ๆ 404,000 ล้านหยวนในปีนี้ ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 35.36% นับตั้งแต่เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว โดยมีเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กและองค์กรขนาดเล็กเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 410,000 ราย
อย่างไรก็ตามพันธบัตรเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาในรูปแบบมาตรฐานที่ควรได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมตลาดทั่วโลก แต่ตรงกันข้ามธนาคารกลางจีนกลับใช้เทคโนโลยี Blockchain นี้เพื่อจัดระเบียบธุรกิจของพวกเขาในประเทศ ซึ่งมันที่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างมาก เมื่อเราพิจารณาถึงจุดยืนของจีนเกี่ยวกับเทคโนโลยีแบบการกระจายอำนาจก่อนหน้านี้
ระบบการออกพันธบัตรบนบล็อกเชนที่พัฒนาขึ้นเองของจีนนั้นได้ถูกนำมาเปิดตัวเป็นครั้งแรก โดยมันจะมีการบริหารจัดการและติดตามพันธบัตรเหล่านี้ตลอดสองปี ด้วยอัตราดอกเบี้ย 3.25%
แม้ว่าการใช้เทคโนโลยี blockchain และฟีเจอร์ที่โดดเด่นอื่น ๆ ของจีนจะมีท่าทีที่แตกต่างไปจากในอดีต แต่มันก็ยังคงสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่เปิดเผยไปเมื่อเร็ว ๆ นี้และอาจจะมีนัยสำคัญอื่น ๆ ตามมาด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามสำหรับการกระทำดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นลักษณะเฉพาะของจีน หากพิจารณาถึงแนวโน้มคริปโตเคอเรนซี่ในประเทศที่มีมาตั้งแต่ปี 2017 ที่จีนเริ่มสร้างบล็อกเชนเป็นของตัวเองและเริ่มการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไปสู่เทคโนโลยีบัญชีแบบแยกประเภทนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก
ความกระตือรือร้นของจีนสำหรับเทคโนโลยี DLT
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานวัตกรรม blockchain และคริปโตเคอเรนซี่ได้ถูกสั่งห้ามในประเทศจีนไปจนถึงระดับที่สอดคล้องกับ ‘zero-tolerance playbook’ ของประเทศในปี 2017 โดยจีนได้สั่งแบน Bitcoin ( BTC ) จากนั้นก็ได้ปิดกระดานแลกเปลี่ยนคริปโต และก็สั่งแบนการเสนอเหรียญโปรเริ่มต้น(ICO)ทั้งหมด ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ดูเหมือนกำลังจะทำให้คริปโตเคอเรนซี่ในประเทศเกิดการล่มสลายจนกระทั่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
โดยในปี 2019 จีนเปิดเผยว่าการที่รัฐบาลคัดค้านคริปโตเคอเรนซี่ในอดีต ก็เพราะความลังเลในเรื่องของเวลาที่เหมาะสม จีนได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นเวลาหลายปีเพื่อเปิดตัวระบบบล็อกเชนและสกุลเงินคริปโตที่รัฐเป็นผู้ควบคุมอย่างแท้จริง
การสั่งแบนระบบบล็อกเชนของจีนในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับอุดมการณ์เล็ก ๆ ในการควบคุมและการใช้ประโยชน์จากมันมากกว่า ซึ่งนี่เป็นการตัดสินที่รอบคอบเมื่อพิจารณาถึงเรื่องของเทคโนโลยี blockchain และคริปโตเคอเรนซี่ โดยในปีนี้เราจะได้เห็นทั้งการเปิดตัวระบบการออกพันธบัตร blockchain และสกุลเงินคริปโตที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC)
การควบคุม Blockchain
เมื่อเร็ว ๆ นี้นาย Lin Le CEO Energy Blockchain Labs ของ IBM ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง cointelegraph โดยกล่าวว่า :
“ทั้งการออกพันธบัตรและระยะเวลาในการจัดการนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการควบคุมข้อมูลและเงินทุนให้มีความเหมาะสม การออกพันธบัตรที่บันทึกไว้บน blockchain จะช่วยให้ข้อมูลมีความโปร่งใสและไม่ถูกเปิดเผยมากจนเกินไป ด้วยความช่วยเหลือของสกุลเงินดิจิทัล กระแสเงินสดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของสัญญา smart contract ที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบดังกล่าวได้ ดังนั้นระบบการออกพันธบัตรนี้จะทำงานร่วมกับสกุลเงินดิจิทัลที่สามารถคาดการณ์ตลาดได้”
ญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศแรกที่ออกพันธบัตรบนบล็อกเชนและในสกุลเงิน Bitcoin ซึ่งถูกออกโดย Fisco ในปี 2017 แม้แต่ธนาคารโลกก็ได้ออกพันธบัตร blockchain ผ่านระบบ Bond-i ด้วยเช่นกันโดยร่วมมือกับ RBC Capital Markets, TD Securities และ Commonwealth Bank of Australia นอกจากนี้แนวโน้มภายในอื่น ๆ ยังได้บ่งชี้แล้วว่าระบบการออกพันธบัตรแบบใหม่ของจีนกำลังจะเปลี่ยนไป
ปัจจัยหนึ่งคือจำนวนเงินที่ออกพันธบัตร ซึ่งแน่นอนว่าจำนวนเงินของการออกพันธบัตรจะเพิ่มขึ้นจาก 28,000 ล้านหยวนและอีกปัจจัยหนึ่งก็คือการสนับสนุน CBDC ของธนาคารกลาง อ้างอิงจาก paper ดูเหมือนว่าการเชื่อมโยงสกุลเงินดิจิทัลเข้ากับระบบการออกพันธบัตร blockchain นั้นจะสอดคล้องกับอุดมคติของจีน
ธนาคารกลางจีนจะสามารถใช้บัญชีแยกประเภทเพื่อติดตามการจ่ายดอกเบี้ยเป็นสกุลเงินดิจิตอลและจ่ายดอกเบี้ยโดยตรงในสกุลเงินหยวนที่มีความเสถียรภาพ ในทางตรงกันข้ามนักลงทุนในระดับสถาบันและนักลงทุนรายย่อยก็จะสามารถใช้ CBDC เพื่อซื้อพันธบัตรโดยไม่ต้องผ่านนายหน้าอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นการใช้เทคโนโลยี blockchain สำหรับการออกพันธบัตรยังช่วยให้ขั้นตอนการอนุมัติทั้งหมดง่ายขึ้น รวมถึงการช่วยลดต้นทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพในการออกพันธบัตรให้ดียิ่งขึ้น” โดยนาง Arthurine Xiang, CMO ของโปรเจค Quarkchain กล่าวในระหว่างให้สัมภาษณ์กับทาง Cointelegraph ว่า :
“ในอนาคตเราจะใช้ blockchain เป็นเครื่องมือทางบัญชีเพื่อช่วยให้การออกใบอนุญาตนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยฟังก์ชั่นต่าง ๆ มากมาย แน่นอนว่าประโยชน์ของ blockchain ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ด้วยการใช้สัญญา smart contracts ผู้ใช้จะสามารถชำระเงินและรับดอกเบี้ยได้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้แล้วการใช้ blockchain ยังช่วยให้ผู้คนสามารถซื้อขายพันธบัตรได้ง่ายขึ้นและปรับปรุงระบบอัตโนมัติในระหว่างกระบวนการออกพันธบัตรทั้งหมด”
ระบบ blockchains แบบรวมศูนย์อำนาจ ?
นี่อาจเป็นทิศทางใหม่สำหรับการพัฒนาระบบนิเวศบล็อกเชนในประเทศจีน ซึ่งความสัมพันธ์ในการออกพันธบัตรที่ค่อนข้างน้อยในปี 2019 นั้นเป็นบ่งบอกแล้วว่าเทคโนโลยีนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการทดลอง ตามที่ Xiang กล่าว “มันเป็นเพียงการทดลองขนาดเล็ก ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ” Xiang เชื่อว่าการทดสอบนี้จะได้รับการประเมินอย่างละเอียดและจะมีดำเนินการต่อไป :
“หากฝ่ายบริหารเห็นว่ามันมีความเสี่ยงที่ยอมรับได้และการรับรู้ของประชาชนมีแนวโน้มที่ดีต่อกระบวนการใหม่นี้ มันก็จะมีการออกพันธบัตรประเภทนี้ต่อไป”
อย่างไรก็ตามเราทราบกันดีว่าจีนนั้นเป็นประเทศที่มีการควบคุมเด็ดขาดจากรัฐบาล ดังนั้นการรวมระบบเงินดิจิตอลเข้ากับบล็อกเชนของจีนจึงอาจถือได้ว่ามันเป็นระบบการจัดการเทคโนโลยีบล็อกเชนแบบรวมศูนย์อำนาจ (centralized) ที่มีการควบคุม
ที่มา : cointelegraph
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น