<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

4 เหรียญ Proof-of-Stake มาแรงทำกำไรแซง Bitcoin เรียบร้อยแล้วในช่วงนี้

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เหรียญคริปโตซึ่งใช้ชุดกฎคำสั่งพื้นฐานหรือ protocol แบบ Proof-of-Stake (POS) นั้นเริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นเรื่อยๆในวงการคริปโต ผ่านตัวเลือกการให้บริการของบริษัท Exchange หลายราย สรุปสำหรับการดำเนินการของเหรียญในรูปแบบนี้คือการที่เหล่าผู้ถือครองเหรียญนั้นใช้เหรียญของตัวเองในการลงขันในเครือข่ายเพื่อแย่งชิงการเป็นผู้ได้รับเลือกให้ประมวลผลบล๊อกข้อมูลนั้นๆ แทนที่การใช้พลังการประมวลผลของคอมพิวเตอร์เช่นที่เกิดขึ้นกับเหรียญแบบ Proof-of-work นั่นเอง

แนวคิดของรูปแบบเหรียญแบบ Proof-of-Stake นั้นได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงหลายปีให้หลังมานี้ โดยหนึ่งในเหรียญคริปโตซึ่งมีอัตราส่วนแบ่งของตลาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก Bitcoin อย่าง Ethereum นั้นยังได้อยู่ในระหว่างการเตรียมการ Hard Folk ในชื่อ Muir Glacier เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบไปสู่ Proof-of-Stake ในเร็วๆนี้อีกด้วย

ท่ามกลางตลาดขาลงของเหรียญหลักอย่าง Bitcoin นั้น เหรียญซึ่งใช้ระบบ Proof-of-Stake นั้นดูเหมือนว่าจะเติบโตขึ้นอย่างมากสวนทางกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยมีเหรียญที่ทำกำไรสูงสุดในหมวดดังกล่าวทั้งหมด 4 เหรียญหลักๆ คือ Tezos (XTZ), Cosmos (ATOM), VeChain (VET) และ NEO โดยมีอัตราการเติบโตที่มากกว่า Bitcoin เสียอีก

อ้างอิงข้อมูลจาก Messari Pro นั้นแสดงให้เห็นถึงอัตราการเติบโตของเหรียญทั้งสี่เหรียญข้างต้นซึ่งมีการเพิ่มขึ้นของกำไรในระยะยาวรวมกันโดยเฉลี่ยกว่า 49% โดยมีเหรียญซึ่งมีการเพิ่มขึ้นของราคาสูงสุดคือเหรียญ VeChain ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 58% ตามมาด้วยเหรียญ Cosmos ที่อัตรา 55% เหรียญ Tezos ที่อัตรา 48.4% และเหรียญสุดท้ายคือเหรียญ NEO ที่อัตรา 35.5% 

อย่างไรก็ตามแม้ว่าในระยะยาวแล้วเหรียญบนระบบ Proof-of-Stake นั้นจะทำผลกำไรได้ดีกว่าเหรียญอย่าง Bitcoin แต่เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้นแล้วนั้นจะพบว่าเหรียญบางรายอย่าง Tezos และ VeChain นั้นได้มีการปรับตัวลงของราคาราวๆ 1-3% ในช่วงวันที่ผ่านมา ตรงข้ามกับเหรียญอย่าง Cosmos นั้นได้มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยที่ 1.4% และเหรียญ NEO นั้นปรับตัวขึ้นที่อัตรา 0.4% 

นอกจากนี้แล้วหนึ่งในเหรียญข้างต้นอย่าง Tezos นั้นยังได้เคยขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในสิบอันดับเหรียญซึ่งมีอัตราส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาอีกด้วย จากนนั้นจึงได้ปรับตัวลงมาอยู่ในอันดับที่ 14 ดังเช่นในปัจจุบัน 

เมื่อมองในภาพรวมของตลาดแล้วยังจะพบว่าเหรียญอื่นๆกว่าครึ่งหนึ่งใน 25 อันดับแรกของเหรียญคริปโตในตลาดนั้นล้วนต่างมีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาไล่เลี่ยกันกับเหรียญอย่าง Bitcoin ทั้งสิ้น โดยเฉพาะเหรียญซึ่งใช้ระบบ Proof-of-Stake ดังที่กล่าวไปทั้งสี่เหรียญข้างต้น ซึ่งเหตุผลนั้นหลักๆมีที่มาจากการให้บริการด้านการ Staking หรือการลงขันเหรียญในเครือข่ายโดยเหล่าบริษัท Exchange รายใหญ่ทั้งหลาย ส่งผลให้มีการซื้อขายและการเข้า Staking เหรียญมากขึ้นนั่นเอง

ที่มา : Decrypt

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น