<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

นักลงทุน Bitcoin 4 รายติดอันดับมหาเศรษฐีระดับพันล้านของ Forbes ในปีนี้

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

มีผู้ประกอบการเพียงสี่รายเท่านั้นที่ติดอยู่ในรายชื่อมหาเศรษฐีทั้งหมด 2,095 รายของนิตยสาร Forbes ในปีนี้ โดยบุคคลที่รวยที่สุดในวงการคริปโตของปีนี้ก็คือนาย Micree Zhan ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Bitmain ซึ่งติดอยู่ในอันดับที่ 690 โดยมีมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดอยู่ที่ 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ท่ามกลางช่วงเวลาของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ดูเหมือนว่าจะมีข่าวดีเกิดขึ้นในวงการคริปโต ซึ่งก่อนหน้านี้เราได้มีการพูดไปแล้วว่าในช่วงเวลาที่ผันผวน ผู้คนมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนใช้สินทรัพย์ดั้งเดิมลดน้อยลง โดยคริปโตเคอเรนซี่ก็กลายเป็นหนึ่งในทางเลือกเหล่านั้นและหลักฐานที่พิสูจน์ให้เราเห็นได้ก็คือข้อมูลล่าสุดของ Forbes ที่เปิดเผยแล้วว่ามหาเศรษฐีระดับโลกนั้นเป็นผู้ประกอบการคริปโตที่มีมูลค่าสินทรัพย์รวมกันทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 8.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในรายชื่อมหาเศรษฐีที่เพิ่งมีการจัดอันดับใหม่โดย Forbes นั้นเปิดเผยว่านาย Jeff Bezos ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Amazon ได้อันดับหนึ่งไปครองด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 113,000 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยนาย Bill Gates ผู้ก่อตั้งบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ microsoft , นาย Bernard Arnault เจ้าของบริษัท LVMH และนักลงทุนชาวอเมริกัน Warren Buffett

ส่วนทางด้านผู้ประกอบการคริปโตทั้งสี่คนนั้นก็อยู่ในบริษัทที่มีชื่อเสียงเช่นเดียวกัน ได้แก่นาย Micree Zhan ผู้ร่วมก่อตั้ง Bitmain ที่มีมูลค่าสินทรัพย์อยู่ที่ 3.3 พันล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยนาย Jihan Wu ที่มีมูลค่าสินทรัพย์อยู่ที่ 1.8 พันล้านดอลลาร์ , นาย  Chris Larsen ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Ripple อยู่ที่ 2.6 พันล้านดอลลาร์และ นาย Brian Armstrong หัวหน้าผู้บริหาร Coinbase อยู่ที่ 1 พันล้านดอลลาร์

Jihan Wu  1.8 พันล้านดอลลาร์

นาย Jihan Wu เป็นผู้ร่วมก่อตั้งอีกคนที่ปัจจุบันยังคงดำรงตำแหน่งประธานของบริษัท Bitmain Technologies และนอกจากนี้เขายังได้ร่วมก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพคริปโตที่ให้บริการทางการเงินที่เรียกว่า Matrixport ในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 อีกด้วย ตามข้อมูลล่าสุดนาย Wu ถือหุ้นของบริษัท Bitmain อยู่ประมาณ 20% ซึ่งน้อยกว่าสัดส่วนการถือหุ้นของนาย Zhan ที่ 36% อยู่ถึง 16% 

Chris Larsen  2.6 พันล้านดอลลาร์

นาย Chris Larsen เป็นผู้ที่ได้ก่อตั้งบริษัท Ripple ขึ้นมาในปี 2012 เพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระเงินข้ามพรมแดนสำหรับธนาคารที่ใช้เทคโนโลยี บล็อกเชน ซึ่งต่อมาในเดือนธันวาคม 2016 นาย Larsen ก็ได้ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Ripple แต่ถึงกระนั้นเขายังคงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการฝ่ายบริหารอยู่ในปัจจุบัน โดยก่อนที่เขาจะเข้าร่วมกับก่อตั้งบริษัท Ripple เขาได้ร่วมก่อตั้งบริษัท e-Loan ผู้ให้กู้สินเชื่อออนไลน์ในปี 1996 และ Prosper ผู้ให้กู้แบบ peer-to-peer ในปี 2005

Brian Armstrong $ 1 พันล้านดอลลาร์

นาย Brian Armstrong หัวหน้าผู้บริหารของ Coinbase เว็ปเทรดคริปโตเคอเรนซี่ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยเขาได้ร่วมก่อตั้งบริษัท Coinbase ซึ่งตั้งอยู่ที่ซานฟรานซิสโกในปี 2012 Coinbase สามารถระดมเงินทุนไปได้กว่า 300 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดือนตุลาคม 2018 ในรอบการจัดหาเงินทุนโดย Tiger Global ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าโดยรวมอยู่ที่ 8 พันล้านดอลลาร์

ผู้ประกอบการคริปโตรายอื่น ๆ ที่อาจจะติดในรายชื่อของ Forbes

มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากว่าทำไม นาย Joseph Lubin ผู้ก่อตั้ง ConsenSys และนาย Changpeng Zhao CEO ของเว็ปเทรด Binance ถึงไม่มีชื่อปรากฏอยู่บนการจัดอันดับของ Forbes ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ชื่อของพวกเขาติดอยู่ในรายชื่อ ‘บุคคลที่รวยที่สุดในอุตสาหกรรมคริปโต’ ปี 2018

จากการคาดการณ์ของ Forbes ก่อนหน้านี้นาย Joseph Lubin มีมูลค่าสุทธิอยู่ที่ราว ๆ  1 ถึง 5 พันล้านดอลลาร์และนาย Changpeng Zhao ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.1 ถึง 2 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตามชื่อของทั้งสองกลับไม่ได้ปรากฏอยู่ในรายชื่อมหาเศรษฐีของปีนี้ 

นาย Joseph Lubin เป็นผู้ประกอบการ , ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum , Ethereum Foundation และผู้ก่อตั้ง ConsenSys ซึ่งเป็นบริษัทการพัฒนาแอพพลิเคชั่นแบบกระจายอำนาจ นาย Joseph Lubin เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในวงการคริปโตตั้งแต่ปี 2014 ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งโปรเจค Ethereum และเป็นผู้ก่อตั้ง ConsenSys ในปี 2015 อย่างไรก็ตามมูลค่าสุทธิของเขายังไม่ได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นทางการในขณะนี้

ส่วนทางด้านของนาย Changpeng Zhao ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Binance ซึ่งเป็นเว็ปเทรดคริปโตที่ใหญ่ที่สุดของโลกที่เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาไม่ถึง 180 วัน แต่เนื่องจากช่วงตลาดขาลงของคริปโตจึงส่งทำให้ผลกำไรรายไตรมาสของ Binance ลดลงจาก 150 ล้านดอลลาร์ในช่วงต้นปี 2018 เหลือเพียง 50 ล้านดอลลาร์ เท่านั้น

ที่มา : coinspeaker

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น