<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

นิตยสารการเงินระดับโลก Forbes คาด หลัง Halving อาจกำเนิดมหาเศรษฐีเงินล้านใหม่เป็นจำนวนมาก

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

นักลงทุนและผู้ชื่นชอบในคริปโตจำนวนมากกำลังเฝ้ารอเหตุการณ์ Halving ของ Bitcoin ที่กำลังจะมาถึงในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้อย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนคาดหวังว่ามันจะช่วยผลักดันให้ราคา Btc เพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง 

นับตั้งแต่ที่ bitcoin ถือกำเนิดขึ้นมาในปี 2009 มันก็มาพร้อมกับเหตุการณ์ Halving ซึ่งจะเป็นการปรับลดรางวัลบล็อกลงครึ่งหนึ่งในทุก ๆ 4 ปี เพื่อจำกัดอุปทานของ Bitcoin ที่มีหมุนเวียนอยู่ในระบบ

นาย Michael Dubrovsky ผู้ร่วมก่อตั้งของบริษัทเหมืองขุด PoWx อธิบายว่าเหตุการณ์ Halving ของ Bitcoin นั้นจะส่งผลกระทบต่อราคาได้อย่างไร โดยเขามีทฤษฎีที่ว่า “Bitcoin จะมีให้ซื้อน้อยลง หากนักขุด Bitcoin มีเหรียญให้ขายน้อยลง”

-หากอุปทานของ bitcoin ลดลงและความต้องการของ bitcoin ยังคงเท่าเดิม ราคาของ bitcoin ก็จะเพิ่มขึ้น

-หากอุปทานของ bitcoin ลดลงและความต้องการเพิ่มขึ้นของ bitcoin (เช่นนักลงทุนสถาบัน เหล่า Gen Y หรือ Boomers ฯลฯ ที่มองหาการใช้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นจากความ hype) ราคาของ bitcoin ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ประสิทธิภาพของ Bitcoin halving ในอดีต

จนถึงปัจจุบันมีเหตุการณ์ Halving เกิดขึ้นมาแล้วทั้งหมด 2 ครั้ง ซึ่งจากข้อมูลในอดีตที่ผ่าน ๆ มา เราจะเห็นได้ว่าหลังจากจบช่วง Halving ของ Bitcoin ราคาของ Btc จะพุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ทุกครั้ง :

-ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2012 เหตุการณ์ Bitcoin Halving ครั้งแรกได้เกิดขึ้น ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าราคาของ bitcoin ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก $ 11 ไปเป็น $ 1,000 ในอีกหนึ่งปีต่อมา

-ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2016 เหตุการณ์ Bitcoin Halving ครั้งที่สองได้เกิดขึ้น และราคาของ bitcoin ก็ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก $ 700 ไปเป็น $ 20,000 ในปี 2017 

เหตุการณ์ Bitcoin Halving ครั้งที่สาม ซึ่งมีกำหนดจะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2020 นี้ อาจทำให้ราคา Bitcoin พุ่งสูงขึ้นเช่นเดียวกับในอดีตที่ผ่าน ๆ มา โดยมหาเศรษฐี Tim Draper เชื่อว่าราคาของ bitcoin นั้นจะพุ่งขึ้นไปแตะที่ราคา $250,000 เช่นเดียวกับนาย Preston Pysh ผู้ร่วมก่อตั้ง Buffett Book ที่เชื่อว่า bitcoin จะสามารถพุ่งสูงถึง $ 300,000 หลังจากการ Halving นอกจากนี้ยังมีนาย Raoul Pal อดีตผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันจ์ของ Goldman Sachs ที่ทำนายไว้ว่าราคาของ bitcoin จะพุ่งแตะ $ 1,000,000 ภายใน 3 ปีข้างหน้า และนาย Ross Ulbricht ผู้ก่อตั้ง Silk Road ที่ทำนายว่าราคา Bitcoin จะพุ่งไปถึง $333,000,000 ต่อเหรียญ

เศรษฐี bitcoin หน้าใหม่จะเกิดขึ้นมามากมาย

เหตุการณ์ Halving ของ Bitcoin ทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา มันได้สร้างเศรษฐีหน้าใหม่ให้เกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่ง J.R. Forsyth ผู้ก่อตั้งของ Onfo ก็เป็นหนึ่งในเศรษฐีเหล่านั้น ในช่วงเวลานั้นเขากำลังศึกษาคณิตศาสตร์อยู่ในระดับชั้นปริญญาตรีและได้คลุกคลีอยู่กับเทคโนโลยี bitcoin และบัญชีแยกประเภท

นาย Forsyth กล่าวว่า “มันเป็นสกุลเงินทางคณิตศาสตร์ของผม” ในช่วงเวลานั้นผมได้ทำการขุด bitcoin และ litecoin เก็บสะสมเอาไว้ มูลค่าที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลของมันทำให้ผมสามารถนำเงินไปลงทุนในเทคโนโลยีคริปโตตัวอื่น ๆ และนำไปสู่การพัฒนามาเป็น Onfo ในที่สุด ซึ่งมันเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้คนสามารถสร้างรายได้จากการขุดคริปโต”

หรือแม้กระทั่งนาย Alan Glanse ผู้ก่อตั้งองค์กรการกุศลและ CEO ของธุรกิจกัญชา JuicyFields เขาก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ร่ำรวยมาจากคริปโตเคอเรนซี่เช่นเดียวกัน โดยในวันหนึ่งที่ Wall Street เขาได้ซื้อ Bitcoin เป็นจำนวน 100 เหรียญต่อจากเพื่อนร่วมงานของเขาที่ต้องการเงินอย่างเร่งด่วนในปี 2012 จากนั้นเขาก็ลืม bitcoin ของเขาไปเลย จนกระทั่งเหตุการณ์ Halving ของ Bitcoin ครั้งที่สองสิ้นสุดลง เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าเขาได้กลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว

นาย Glanse เชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ และการเติบโตของตลาดคริปโตอย่างมาก ซึ่งเราสามารถเห็นได้จากการฟื้นตัวของราคา Bitcoin ในช่วง 2-3 เดือน หลังจากที่ราคาได้ร่วงลดลงอย่างรุนแรงในเดือนมีนาคม

Federal Reserve

งบดุลของเฟดคาดว่าจะพุ่งแตะระดับ 6.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งมันเป็นตัวเลขที่ไม่มีใครเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์

นาย Todd Crossland CEO ของ Coin Zoom กล่าวว่า “ในขณะที่ผมปรบมือและสนับสนุนรัฐบาลสำหรับการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการพิมพ์ดอลลาร์ขึ้นมา แต่ขณะเดียวหนี้ที่ตามมาก็ทำให้ผมต้องหยุดปรบมือลงทันที มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นและค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง ในความคิดของผมนี่เป็นอีกกรณีที่น่าสนใจสำหรับ bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัล”

ตอนนี้โลกกำลังเผชิญหน้ากับการปฏิวัติทางการเงินครั้งใหญ่ ในช่วง black swan โดยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาตลาดหุ้นได้ร่วงลดลงอย่างหนัก นักลงทุนได้พากันเปลี่ยนหุ้นไปเป็นเงินสด ซึ่งส่งผลให้สภาพคล่องของราคา bitcoin และสกุลเงินคริปโตตัวอื่น ๆ ร่วงลงอย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมา bitcoin ก็สามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์พร้อมกับสกุลเงินคริปโตตัวอื่น ๆ ซึ่งถ้าหากแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของ Fed นั้นส่งผลให้เกิดภาวะเงินฝืด มันก็จะตามมาด้วยภาวะเงินเฟ้อหลังจากนั้นและสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อราคา Bitcoin ในเชิงบวก

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแง่ของความมั่งคั่ง

นาย Ray Dalio  มหาเศรษฐีนักลงทุนและผู้ก่อตั้งบริษัท Bridgewater Associates เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงในแง่ของความมั่งคั่งอย่างมาก ซึ่งหลายคนในชุมชนคริปโตก็ได้ถือครองสินทรัพย์คริปโต เช่น bitcoin เอาไว้ ดังนั้นแล้วเศรษฐีหน้าใหม่ก็อาจปรากฏตัวขึ้นจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจของโลก

นาย Dalio กล่าวว่า “รัฐบาลที่มีอำนาจกำลังพิมพ์เงินเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระหนี้และช่วยเหลือค่าใช้จ่ายทางการเงินที่มาจากสกุลเงินของพวกเขาเอง สิ่งนี้จะทำให้ค่าเงินของพวกเขาอ่อนตัวลงและเร่งอัตราเงินเฟ้อให้เพิ่มมากขึ้นเพื่อชดเชยภาวะเงินฝืดเนื่องจากดีมานด์ลดน้อยลง” 

นาย Dalio เชื่อว่าความมั่งคั่งนั้นไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ง่าย ๆ จากการผลิตเงินและเครดิตที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในที่สุดวงจรหนี้ระยะยาวจะสิ้นสุดลงอย่างแน่นอน นาย Dalio เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบการเงินกำลังเริ่มใกล้เข้ามาแล้ว เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวเนซุเอลา , เลบานอนและบาฮามาสที่ทุกคนพากันหันมาใช้ bitcoin ในการแลกเปลี่ยน ดังนั้นเหตุการณ์ Halving ของ Bitcoin ในครั้งที่ 3 นี้อาจเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเงินซึ่งส่งผลให้มีเศรษฐีคริปโตเกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก

ที่มา : forbes

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น