ธนาคารกลางแห่งประเทศบาฮามาสได้ออกมาประกาศเปิดตัวเหรียญ cryptocurrency ของธนาคารกลาง หรือที่เรียกว่า CBDC ส่งผลทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศแรก ๆ ของโลกที่ออกมาเปิดตัวเหรียญคริปโตของรัฐบาล
เหรียญดังกล่าวจะมีชื่อว่า Sand Dollars ตามที่ทางสยามบล็อกเชนเคยรายงานไปแล้วเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยโครงการดังกล่าวนั้นถูกริเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว โดยเหรียญ Sand Dollars นี้จะถูกออกโดยธนาคารกลาง และจะนำไปปรับใช้กับระบบการจ่ายเงินทั่วประเทศ
เหรียญดังกล่าวถูกเปิดตัวในวันนี้ และทางธนาคารกลางเผยว่าประชาชนจำนวน 385,000 คนสามารถที่จะเริ่มเปิดบัญชี Project Sand เพื่อเริ่มต้นใช้งานเหรียญดังกล่าวได้แล้ว
“พวกเขาสามารถที่จะสมัครได้แล้ว และเมื่อไรก็ตามที่พวกเขามี wallet เหรียญ Sand Dollar ในมือ พวกเขาสามารถที่จะเริ่มทำธุรกรรมกับร้านค้าและบริการของรัฐได้ทันที” กล่าวโดยทางธนาคารกลาง
ธนาคารกลางบาฮามาสยังได้อนุมัติให้สถาบันการเงินทั้ง 6 แห่งในประเทศอย่าง Omni Financial, Kanoo, SunCash, Cash N Go, Mobile Assist, และ Money Maxx สามารถมาเข้าร่วมโครงการ Sand Dollars นี้ได้ แม้ว่าสถาบันการเงินเหล่านี้จะไม่ใช่ทั้งหมดในประเทศ แต่ทางธนาคารกลางเชื่อว่าในอนาคตจะมีเข้ามามากกว่านี้
เป้าหมายหลักของโครงการ Sand Dollars นั้นก็คือเพื่อนำมาใช้คู่กับเงินสด และพัฒนาระบบการจ่ายเงินของประเทศ โดยในหน้า FAQ ของเว็บไซต์ของพวกเขาเผยว่าการมาของเหรียญ Sand Dollars นั้นจะช่วยลดต้นทุนด้านค่าธรรมเนียมให้ผู้ใช้งาน อีกทั้งเครือข่ายยังมีความปลอดภัย รวมถึงการทำ KYC ที่แน่นหนาอีกด้วย
ความแตกต่างระหว่าง Sand Dollar และ Bitcoin ก็คือ Sand Dollar นั้นถูกควบคุมและออกโดยธนาคารกลาง และสามารถถูกใช้ได้แค่การซื้อสินค้าในประเทศเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้มันมีความคล้าย Bitcoin ก็คือมันทำงานอยู่บน blockchain นั่นเอง
ชาวบาฮามาสนั้นถือเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่ออกมาเปิดตัวเหรียญคริปโตของธนาคารกลาง โดยก่อนหน้านี้เราได้เห็นเหรียญ Petro ของประเทศเวเนซุเอลา ที่มีน้ำมันมารองรับ และเหรียญหยวนดิจิทัลของจีน รวมถึงเหรียญ ‘อินทนนท์’ ของประเทศไทยนี้อีกด้วยเช่นกัน
รายงานเมื่อต้นปีนี้จาก Bank of International Settlements เผยว่า 80% ของธนาคารกลางทั่วโลกกำลังศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับเหรียญ CBDC เป็นของตัวเอง แต่ก็มีเพียงไม่กี่ประเทศในขณะนี้ที่ออกมาเปิดตัวและเปิดให้ใช้จริง ส่วนของไทยนั้นดูเหมือนว่าจะถูกทดสอบไปไกลแล้ว แต่หากเปิดตัวให้ใช้งานจริงนั้นก็จะเป็นภายในระหว่างธนาคารมากกว่า ผู้บริโภคทั่วไปจะไม่ได้ใช้