<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ราคา Bitcoin จะสามารถกลับไปหาระดับ 40,000 ดอลลาร์ได้หรือไม่? ดัชนีเงินดอลลาร์มีคำตอบ

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ราคา Bitcoin ได้มีการร่วงลงที่รุนแรงที่สุด หากนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2020 ที่ผ่านมา ส่งผลทำให้นักเทรดหลาย ๆ คนเริ่มที่จะสูญเสียความมั่นใจแล้วว่าขาขึ้นของราคาที่มีมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมานั้นจะเริ่มค่อย ๆ ชะลอตัวลงแล้ว

ราคาของ bitcoin นั้นได้ร่วงลงมา 5.18% ในช่วงวันนี้ อีกทั้งยังได้มีการปรับฐานของราคาที่ขยายไปถึง 32,300 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดของวัน โดยรวมนั้นการร่วงลงของราคาดังกล่าวทุบสถิติการเสียมูลค่าของราคาที่มากที่สุดในวันเดียว หากนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2020 ที่ผ่านมา

BTCUSD 4H จาก TradingView

ทำไมราคา Bitcoin ถึงได้ร่วงลงมาอย่างรุนแรง?

เมื่อมีนักลงทุนรายใหญ่บางรายเริ่มที่จะ take profit ส่งผลทำให้อีกหลาย ๆ รายเริ่มกังวลว่าตลาดนั้นเริ่มที่จะเข้าสู่จุดที่เรียกว่า overbought แล้ว นอกจากนี้การฟื้นตัวของดัชนีเงินดอลลาร์ หรือ US Dollar Index นั้นก็ได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย รวมถึงเรายังได้เห็นการเพิ่มขึ้นของ Treasury benchmark note ในรอบ 10 ปีอีกด้วย

นอกจากนี้นักดูเหมือนว่านักเทรดส่วนใหญ่เริ่มที่จะมีการเคลื่อนย้ายกำไรของพวกเขาไปเป็นเงินสด และตลาดพันธบัตร หลัก ๆ นั้นทาง Fed ในประเทศสหรัฐฯ เริ่มที่จะมีท่าทีว่าจะลดขนาดในการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในเดือนมกราคม 2022 อ้างอิงจากการรประชุมของเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นตรงกับช่วงที่ราคา Bitcoin นั้นได้พุ่งไปแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติกาลที่ระดับ 41,000 ดอลลาร์ ซึ่งสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้นักเทรดเริ่มมีแนวคิดที่จะทำการ take profit และโยกย้ายเม็ดเงินไปตลาดอื่น ๆ

“ถึงเวลาแล้วที่จะเอาเงินออกจากโต๊ะ” กล่าวโดยนาย Scott Minerd หรือหัวหน้าฝ่ายการลงทุนจาก Guggenheim Investments ผ่าน Twitter ของเขาในวันนี้ “การพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin ที่มากอย่างรุนแรงนี้เหมือนว่าจะคงอยู่ไม่ได้ในอีกไม่นานนี้”

แต่กระนั้น การร่วงลงของราคา Bitcoin ล่าสุดดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำให้นักเทรดและนักลงทุนในตลาดเลิกมองเหรียญดังกล่าวว่าจะไม่เป็นขาขึ้นในระยะยาว หลัก ๆ นั้นเป็นเพราะว่าปัจจัยพื้นฐานที่ดูค่อนข้างน่าสนใจ ที่ยังทำให้ตลาดดูมีแนวโน้มเป็นบวกอยู่

การอัดฉีดเงินของรัฐบาลสหรัฐฯ

โดยปกติแล้วทาง Fed จะทำการปรับลดขนาดงบดุลหรือเงินที่พิมพ์เข้ามาในระบบ (หรือที่เรียกว่า Taper tantrum) เมื่อใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกว่าเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐฯนั้นเริ่มที่จะมีการฟื้นตัวเป็นที่น่าพอใจแล้ว แต่ทว่านาย Jerome Powell หรือประธาน Fed ได้ออกมายอมรับว่าพวกเขาต้องการที่จะผลักดันอัตราเงินเฟ้อให้สูงกว่า 2% นอกจากนี้เขายังกล่าวอีกด้วยว่าทาง Fed จะยังคงซื้อพันธบัตรรัฐบาลไปเรื่อย ๆ จนกว่าพวกเขาจะเห็นการฟื้นตัวของอัตราจ้างงานในตลาดแรงงานสหรัฐฯที่น่าพอใจ

แต่กระนั้น การฟื้นตัวมักจะมาก็ต่อเมื่อทางรัฐบาลสหรัฐฯนั้นได้ทำการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในตลาดโดยสมบูรณ์แล้ว ซึ่งก็ตรงกับที่นาย Joe Biden หรือประธานาธิบดีคนใหม่ล่าสุดของสหรัฐฯ ได้ออกมายืนยันในวันแรกว่าเขาจะโฟกัสไปที่การเพิ่มเงินอัดฉีดเข้ามาในระบบเป็นจำนวนหลายล้านล้านดอลลาร์

แนวโน้มการขาดดุลของคลังที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นจะส่งผลทำให้มูลค่าของเงินดอลลาร์ลดลง อย่างน้อยก็ในระยะกลาง ดังนั้นนักเทรดและนักลงทุนจึงได้มอง Bitcoin ว่าเป็นเหมือนกับสินทรัพย์ปลอดภัยต่อการสูญเสียมูลค่าของเงินดอลลาร์ในขณะนี้ อีกทั้งยังสามารถอธิบายได้ถึงการปรับฐานของราคา Bitcoin ในวันนี้ และรวมถึงการฟื้นตัวของดัชนีค่าเงินดอลลาร์ที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นจากในช่วง 3 วันที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ค่าดัชนีเงินดอลลาร์จาก TradingView

ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ที่เป็นตัววัดความแข็งแกร่งของค่าเงินดอลลาร์ต่อสกุลเงินอื่นๆ ได้พุ่งทะลุ channel ขาลงไปแล้วตามกราฟด้านบน และตอนนี้มันกำลังวิ่งไปชนแนวต้านที่แข็งแกร่งอยู่ โดยนักเทรดนั้นคาดการณ์ว่าหากมันชนแนวต้านดังกล่าวแล้วร่วงลงมานั้น เราอาจจะได้เห็นการเพิ่มขึ้นของราคา BTC สวนทางก็เป็นได้

ในวันนี้ทางสยามบล็อกเชนได้รายงานไปแล้วถึงตัวแปรพื้นฐานที่น่าจับตาดูในสัปดาห์นี้ หลังจากราคา Bitcoin นั้นร่วงอย่างรุนแรง ซึ่งมีการกล่าวถึงการประชุมเรื่องการตัดสินใจอัดฉีดเงินของรัฐบาลสหรัฐฯรอบใหม่ด้วย โดยคุณสามารถคลิกได้ที่นี่