สำนักงานคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) นั้นได้ออกมาโพสต์ผ่าน Facebook ของพวกเขาเพื่อเตือนประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนเหรียญ Cryptocurrency อย่างเช่น Bitcoin ในวันนี้
โดยอ้างอิงจากโพสต์ของพวกเขาบน Facebook นั้น ทาง ก.ล.ต. ได้ออกมาโพสต์กล่าวว่า
“ปรากฎการณ์ที่ราคาของสกุลเงินดิจิทัล หรือคริปโทเคอร์เรนซี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบิทคอยน์ (Bitcoin) ที่พุ่งขึ้นสูงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เปิดศักราชปี 2564 ราคาของบิทคอยน์ขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 41,946 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.26 ล้านบาท) ต่อ 1 Bitcoin เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2564) จาก 9,100 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.73 แสนบาท) ต่อ 1 Bitcoin เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563 เรียกได้ว่าสร้างความตื่นเต้นและกระตุ้นความสนใจในการลงทุนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุนมือเก๋า หรือผู้ลงทุนรุ่นเยาว์คนรุ่นใหม่ ซึ่งส่งผลให้ผู้ลงทุนจำนวนมากอาจตัดสินใจกระโจนเข้าไปลงทุนโดยที่ยังไม่ได้ประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน เพียงเพราะกลัวว่าจะ “ตกขบวน”
ก.ล.ต. ขอส่งเสียงเตือนต่อจากคราวก่อนอีกสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่เคยลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีมาก่อน ขอให้ประเมินตัวเองอีกหน่อยก่อนจะลงทุน เพื่อให้มั่นใจว่ามีความเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน เช่นเดียวกับหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินหลายแห่งต่างแสดงความเป็นห่วงผู้ลงทุนที่เข้าไปลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี
หน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนของสหราชอาณาจักร (Financial Conduct Authority: FCA) เตือนผู้ลงทุนให้ระมัดระวังความเสี่ยงในการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี ที่อ้างว่าจะได้ผลตอบแทนสูง รวมทั้งต้องเข้าใจความเสี่ยงที่สูงมากและพร้อมเผชิญกับความเป็นไปได้ที่อาจจะต้องสูญเสียเงินลงทุนทั้งก้อน ก่อนหน้านี้ FCA ยังห้ามขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนอ้างอิงกับสินทรัพย์ดิจิทัลให้กับผู้ลงทุนรายย่อย
o เพราะ “คริปโทเคอร์เรนซี” มีความผันผวนสูง
ในช่วงที่ผ่านมา ราคาของคริปโทเคอร์เรนซีผันผวนรุนแรงมากมาโดยตลอด โดยเห็นได้จากความเคลื่อนไหวของมูลค่าตลาดรวมของคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลทั่วโลก ในเดือนพฤษภาคม 2561 เคยขึ้นไปถึง 4.23 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 12.69 ล้านล้านบาท) จากนั้นปรับลดลงกว่า 69% มาอยู่ 1.30 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.9 ล้านล้านบาท) ในเดือนมกราคม 2562 ก่อนที่จะสวิงเพิ่มขึ้น 46% มาอยู่ที่ 1.91 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.73 ล้านล้านบาท) ในเดือนมกราคม 2563
ส่วนความเคลื่อนไหวด้านราคาทั้งคริปโทเคอร์เรนซีในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีค่าความผันผวนสูงมาก เช่น Bitcoin มีค่าความผันผวนของราคาที่เคยขึ้นไปถึง 140% เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2563 ขณะที่ตลาดหุ้นไทย (SET index) ที่ว่ามีความเสี่ยงมากแล้ว ยังมีค่าความผันผวนสูงสุดอยู่ที่ 72% เท่านั้น
ผู้ที่ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีจึงต้องรับความความเสี่ยงได้สูงมาก และยอมรับว่ามีโอกาสที่จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งก้อนภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที ดังนั้น เงินที่จะนำมาลงทุนควรจะจัดสรรในสัดส่วนที่เหมาะสม ควรเป็นเงินที่เมื่อสูญไปแล้วจะต้องไม่เป็นภาระต่อตัวเองและครอบครัว
o เพราะ “คริปโทเคอร์เรนซี” อาจไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ
ความเคลื่อนไหวของราคาคริปโทเคอร์เรนซีเกิดจากดีมานด์และซัพพลาย บวกกับปัจจัยทางจิตวิทยา และอาจไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เพราะฉะนั้นจึงเป็นการลงทุนเพื่อการเก็งกำไรเกือบทั้งหมด
ดังนั้น ผู้สนใจลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี นอกจากจะต้องยอมรับความเสี่ยงได้สูงมากแล้ว ยังต้องมีความรู้ ความเข้าใจในคริปโทเคอร์เรนซีที่สนใจลงทุนเป็นอย่างดี และต้องระมัดระวังอย่าหลงเชื่อการโฆษณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การลงทุนในหลักทรัพย์มาก่อนยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
อีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง นั่นคือคริปโทเคอร์เรนซีมีการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง ในหลากหลายศูนย์ซื้อขาย (Digital Asset Exchange) ราคาจึงเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้ต้องหมั่นติดตามบัญชีลงทุนอยู่เสมอ ดังนั้น ใครก็ตามที่เข้ามาลงทุนต้องศึกษาเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ยอมรับความเสี่ยงจากความผันผวน และระลึกเสมอว่า ยิ่งคาดหวังผลตอบแทนสูงเท่าไร ก็ยิ่งต้องแลกกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
ก.ล.ต. จึงขอฝาก “6 ข้อควรระวังก่อนลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี” เตือนผู้ลงทุนให้เข้าใจความเสี่ยง ตั้งสติให้มั่น มองอย่างพิเคราะห์ให้ดีว่าลงทุนด้วยความเข้าใจจริงหรือไม่ ถามตัวเองว่ายอมรับความเสี่ยงสูงมาก ๆ แบบนั้นได้จริงหรือไม่ เมื่อตัดสินใจลงทุนแล้วต้องจัดสรรในสัดส่วนที่เหมาะกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือหากต้องสูญเงินลงทุนไปอาจทั้งก้อนจะเป็นภาระต่อตนเองและครอบครัวหรือไม่ เพราะหากไม่เป็นไปตามที่หวังจะเจ็บตัวและเจ็บใจไม่น้อย”
ก่อนหน้านี้ทาง ก.ล.ต. ไทยนั้นได้ออกมาประกาศเปิดตัวใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเมื่อช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา โดยหลังจากนั้นเราได้เห็นการเข้ามายื่นขอใบอนุญาตดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะทั้งจากบริษัทในไทย และต่างประเทศ
ด้วยความแน่นอนทางด้านกฎหมายคริปโตในประเทศไทยนี้เองจึงอาจกล่าวได้ว่าสิ่งนี้เป็นตัวช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรม blockchain และ cryptocurrency ในไทยสามารถที่จะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด หากเทียบกับของประเทศเพื่อนบ้านรอบ ๆ ตัวเรา
ปัจจุบันเราได้เห็นโวลุมซื้อขายรายวันของเว็บกระดานซื้อขายคริปโตในไทยแบบรวมทุกเจ้ารวมกันอยู่ที่ประมาณ 2.4 พันล้านบาทต่อวัน อ้างอิงจาก Coinmarketcap ซึ่งเพิ่มมากขึ้นจากปีที่ผ่านมาอย่างมาก โดยคาดการณ์ว่ามาจากเทรนด์ขาขึ้นของ Bitcoin ที่มีมาตั้งแต่ต้นปี และเราอาจจะได้เห็นเทรนด์ดังกล่าวเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ หากราคายังเป็นขาขึ้นแบบนี้ต่อไปอีก