ต้องยอมรับว่าในปี 2021 นี้มีกระดานเทรดคริปโตให้บริการสำหรับนักเทรดมากมาย ซึ่งแต่ละกระดานเทรดนั้นก็มีจุดเด่นจุดด้อยต่างกันออกไป แล้วแต่ว่าใครจะชื่นชอบการใช้งานของแพลตฟอร์มไหน และในวันนี้ทาง Siam Blockchain จะมารีวิวอีกหนึ่งกระดานซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีที่ได้รับความนิยมอีกแห่ง
นั่นก็คือ FTX กระดานเทรดน้องใหม่มาแรงที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปี 2019 แต่ก็สามารถก้าวมาเป็นกระดานเทรดชั้นนำระดับโลกได้ด้วยการมุ่งเน้นไปที่การซื้อขายผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ (Derivatives) ทำให้มีวอลุ่มรวมมากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อวันกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีตลาด Spot, Futures, Stocks, Prediction และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ มากมายที่เปิดให้บริการบนกระดานเทรดอีกด้วย
ทำความรู้จักกับ FTX แพลตฟอร์มผู้ให้บริการครบเครื่อง
FTX เป็นกระดานซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีโดยผู้ก่อตั้ง Sam Bankman-Fried ซึ่งเขาให้นิยามของกระดานเทรดนี้ว่า “เป็นกระดานเทรดที่สร้างโดยผู้เทรดเพื่อนักเทรดอย่างแท้จริง”
นอกเหนือจากการเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์การซื้อขายอนุพันธ์ (Derivatives) แล้ว ทางแพลตฟอร์มยังให้บริการผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่หลากหลายอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น Spot, Futures, Stocks, Leveraged Tokens, Volatility, Prediction, Fiat และ Staking นับเป็นจุดเด่นที่ไม่เหมือนใครในการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้งาน
กระดานเทรด FTX ยังมีโทเค็นอย่าง FTT Token เป็นโทเค็นประจำกระดานเทรดที่เรียกได้ว่าเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการใช้งานบนแพลตฟอร์มของ FTX โดยมันมีเพียงแค่ 350,000,000 FTT และจะถูกเผาทิ้งเพื่ลดอุปทานตามแผนการของผู้พัฒนา ซึ่งผู้ถือครอง FTT จะได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย เช่น
- จ่ายค่าธรรมเนียมในการซื้อขายบนกระดานเทรด FTX ที่ถูกลง
- ใช้เป็นหลักประกันในการซื้อขายล่วงหน้า
- ได้รับผลตอบแทนจากการ Staking
ดีไซน์และความง่ายต่อการใช้งาน
เมื่อเข้าสู่หน้าแรกของเว็บไซต์ https://ftx.com ผู้ใช้งานจะพบกับรูปแบบของแพลตฟอร์มที่จัดวางให้ดูเรียบง่าย เน้นสีโทนน้ำเงิน ดำและขาว โดยจะมีเมนูหลักแสดงที่แท็บด้านบนของเว็บไซต์ แต่หากต้องการใช้งานในฟีเจอร์อื่น ๆ ของแพลตฟอร์มสามารถเข้าไปได้ที่ปุ่มสี่เหลี่ยมสีขาวมุมบนซ้ายมือ
ในหน้าแรกนี้ผู้ใช้งานสามารถปรับเปลี่ยนการแสดงผลของหน้าจอเป็นภาษาไทยได้ที่มุมบนขวามือ นับเป็นจุดเด่นอีกข้อเมื่อเทียบกับ Exchange เจ้าอื่น ๆ ที่ไม่รองรับภาษาไทย และยังมีให้เลือกใน Dark Mode, Black Mode และ Light Mode อีกด้วย และอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบนั่นก็คือแท็บ Search Market ด้านบนที่สามารถเสิร์ชหาชื่อเหรียญผลิตภัณฑ์ได้อย่างง่ายดาย
ทางด้านล่างของหน้าเว็บไซต์จะพบกับข้อมูลเบื้องต้น
ที่แสดงให้เห็นถึงมูลค่าการซื้อขายต่อวันและต่อเดือน รวมไปถึงมูลค่าที่ทางแพลตฟอร์มเปิดให้กู้ยืมเฉลี่ยวันละ 1 พันล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
รูปตัวอย่างในโหมด Dark Mode การตั้งค่าภาษาไทย และการใช้งาน Search Market
ส่วนในหน้าการเทรดนั้นมีรูปแบบคล้ายคลึงกับหลาย ๆ แพลตฟอร์มจึงทำให้มีความสะดวกต่อการใช้งานสำหรับมือเก่าและมือใหม่ แต่สิ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบคือเราสามารถจัดวาง Layout หรือตั้งค่าของหน้าตาการใช้งานในหน้าการเทรดได้
ขั้นตอนการสมัครและเริ่มเทรด
เมื่อรู้จักกับ FTX เรียบร้อยแล้วมาถึงการสมัครเปิดบัญชีกับทางแพลตฟอร์มซึ่งขั้นตอนในการสมัครนั้นมีความสะดวกและง่ายมาก ๆ โดยสามารถสมัครได้ที่นี่ เมื่อเข้าไปที่ลิงก์ดังกล่าวแล้วหน้าเว็บไซต์จะปรากฎหน้าจอการสมัคร โดยเริ่มต้นสามารถใส่ Email และ Password เพื่อทำการสมัครได้เลย
จากนั้นเมื่อล็อกอินเข้าสู่เว็บไซต์แล้วทางผู้เขียนแนะนำให้ผู้ใช้งานเข้าไปตั้งค่าระบบ 2FA เพื่อความปลอดภัยของบัญชีท่านในระหว่างการใช้งานบน FTX ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มหรือกระดานเทรดใด ผู้ใช้งานก็ควรติดตั้ง 2FA ให้เรียบร้อยก่อนเริ่มเทรดเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ตามภาพประกอบด้านล่าง
แต่หากผู้ใช้งานต้องการฝากและถอนเป็นเงินจำนวนมาก ($2,000+) หรือใช้งานฝากและถอนในรูปแบบ Unlimited ผู้ใช้งานต้องเข้าไปกรอกข้อมูลส่วนตัวเพิ่มเติม เช่น วันเดือนปีเกิด บัตรประชาชน รูปถ่าย เป็นต้น โดยเป็นการทำ KYC ในการยืนยันตัวตนระดับ 2 และ 3 ขึ้นไป
การถอนและฝากเงินเข้าบัญชีบน FTX
อีกหนึ่งสิ่งที่ FTX อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานนั่นก็คือการฝากเงินเข้าบัญชีด้วยสกุลเงินที่หลากหลายทั่วโลก ไม่เพียงแต่สกุลเงินดิจิทัลเท่านั้น แต่รวมไปถึงสกุลเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย โดยปกติกระดานเทรดส่วนใหญ่จะมีสกุลเงินหลักอย่าง USDT, BTC, USD, EUR หรือ GBP รองรับเพียงเท่านั้นแต่สำหรับกระดานเทรด FTX รองรับสกุลเงินอย่างหลากหลาย เช่น Turkish Lira (TRY), Singapore Dollar (SGD), Swiss Franc (CHF) และอื่น ๆ อีกมากมาย
ซึ่งสามารถเข้าไปฝาก ถอน แปลงสกุล หรือยืม ได้ที่เมนู Wallet อย่างไรก็ตามผู้ใช้งานควรยืนยันตัวตนให้ถึงระดับ 2 หรือ 3 เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดในการทำธุรกรรมบางประการ หากผู้ใช้งานต้องการฝากเงินเป็นสกุลเงินใดก็ตามควรคำนวณค่าธรรมเนียมของเครือข่ายบล็อกเชน หรือค่าธรรมเนียมจากบัตรเครดิตและจากทางแพลตฟอร์มอย่างละเอียดเพื่อความคุ้มค่าก่อนการลงทุน
ทั้งนี้หากผู้ใช้งานต้องการฝากเงินเข้าบัญชีด้วยสกุลเงินดิจิทัล สามารถทำได้อย่างง่ายดายโดยการไปที่ปุ่ม Deposite โดยผู้เขียนเลือกจะฝากเหรียญ USDT บนเครือข่ายของ TRON จากนั้นเมื่อเลือกเครือข่ายที่ต้องการแล้วให้คัดลอกหรือ Scan เลข Address ไปยังแพลตฟอร์มที่ต้องการส่งเหรียญ
จากรูปผู้เขียน Copy เลขกระเป๋า BTC บนเครือข่าย TRON (TRC20)
แล้วนำไปวางบนแพลตฟอร์มที่ต้องการจะส่ง (ในบทความนี้ผู้เขียนใช้ Binance) และเลือกเครือข่าย TRON (TRC-20) ให้ตรงกับเครือข่ายปลายทางที่จะรับ จากนั้นกด Submit รอรับเหรียญเข้ากระเป๋าได้เลย
ในส่วนของการถอนนั้นมีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกไปที่ปุ่ม Withdraw จากนั้นเว็บไซต์จะแสดงหน้าต่างเล็ก ๆ ขึ้นมาให้
ใส่จำนวนเงินที่ต้องการถอนและใส่ที่อยู่ Address ที่ต้องการส่งไป เช่นเดียวกับการฝากไปยังกระเป๋า Address อื่น ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ผลิตภัณฑ์ที่มีให้เทรดอย่างหลากหลาย
FTX เป็นอีกหนึ่งกระดานเทรดที่มีผลิตภัณฑ์ให้เทรดอย่างหลากหลายและตอบสนองต่อการต้องการของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี ซึ่งผลิตภัณฑ์หลักประกอบไปด้วย Spot, Futures, Stocks, Leveraged Tokens, Volatility, Prediction และ Fiat
- Spot
Spot เป็นรูปแบบการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลทั่วไป โดยมีคู่สกุลหลักให้เลือกซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีถึง 6 สกุลได้แก่ BRZ, BTC, EUR, TRYB, USD และ USDT โดยผู้ใช้งานสามารถซื้อขายเหรียญดิจิทัลได้โดยใช้สกุลคู่เทรดเหล่านี้ตัวอย่างเช่น BTC-USDT, ETH-EUR หรือ XRP-BTC เป็นต้น
ผู้เขียนได้ลองเลือกคู่เทรด BTC/USDT จากนั้นเว็บไซต์จะพาเราไปยังหน้ากราฟและการซื้อขายตามภาพประกอบด้านล่าง
ในหน้านี้จะแสดงผลของกราฟราคาและการซื้อขายปัจจุบัน โดยกราฟที่แสดงอ้างอิงจาก TradingView เว็บไซต์ยอดนิยมสำหรับการเทรด และเมื่อเลื่อนหน้าจอลงมาด้านล่างจะพบกับคำสั่งสำคัญในการซื้อขายอย่าง Buy และ Sell ซึ่งจะมีการแสดงราคาซื้อขายแบบ Real Time ที่ด้านซ้ายและขวามือขนาบข้าง ส่วนด้านล่างสุดเป็น การแสดงการ Match ของ Order ที่ผู้เขียนได้ตั้ง Buy ไว้
ด้านล่างสุดของภาพเป็นการแสดงออเดอร์ตั้งขาย BTC ในรูปแบบ Limit Order
- Futures
Futures เป็นรูปแบบการซื้อขายในลักษณะสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งปัจจุบันทาง FTX มีผลิตภัณฑ์ให้บริการอยู่ 2 รูปแบบนั่นก็คือ สัญญาซื้อขายที่มีวันหมดอายุและสัญญาซื้อขายแบบไม่มีวันหมดอายุ (Perpetual) โดยรูปแบบสัญญาซื้อขายที่มีวันหมดอายุสามารถดูวันหมดอายุได้ที่ชื่อของผลิตภัณฑ์
เช่น BTC-0924 หมายความว่าสัญญานี้จะหมดอายุลงในวันที่ 24 เดือนที่ 9 หรือกันยายน และ ETH-1231 หมายความว่าสัญญานี้จะหมดอายุลงในวันที่ 31 เดือนที่ 12 หรือธันวาคมของปีนี้นั่นเอง
ส่วนสัญญาซื้อขายที่ไม่มีวันหมดอายุจะมี PERP ต่อท้ายชื่อ เช่น DOGE-PERP เป็นต้น ซึ่งจะมีเรื่องของ Funding Rate เข้ามาทดแทนในกรณีที่สัญญาไม่มีวันหมดอายุ
Funding rate คือเครื่องมือควบคุมให้ราคา Futures ที่ไม่มีวันหมดอายุนั้นยังอยู่บนพื้นฐานราคาจริง ให้นึกถึงหากว่าเราเปิด Long position หรือ Buy ซึ่งหมายถึง ซื้อถูกขายแพงเหมือนการเก็งกำไรทั่วไป แต่มันคือสัญญาอนุพันธ์นั่นหมายความว่าเรามีสัญญาตกลงกับคนขายไว้ว่าเราจะซื้อในอนาคตด้วยราคาที่กำหนดไว้ ในระหว่างที่คนขายล็อคสินค้าไว้ให้เรานั้น เขาจะต้องเสียทั้งเวลา เสียโอกาส และหากมันลากยาวไปแบบไม่มีกำหนดเวลาซื้อที่แน่นอน คนที่ขายให้เราจะไม่ได้อะไรเลยและไม่รู้ว่าจะได้มีการปิดสัญญาเมื่อไร Funding rate เข้ามาช่วยตรงนี้เพื่อให้มีการชำระเกิดขึ้น ทดแทนกับค่าต่าง ๆ ที่เสียไป
ภาพตัวอย่างเป็นสัญญาซื้อขาย BTC-PERP แบบไม่มีวันหมดอายุ (PERP ย่อมาจาก Perpetual) ซึ่งมีรายละเอียดด้านขวาบอกว่ามีระยะเวลาของ Funding Rate ครั้งต่อไปและอัตรา Funding Rate ที่คาดการณ์
อย่างไรก็ตามวิธีการซื้อขายสัญญาในตลาดฟิวเจอร์สนั้นคล้ายคลึงกับตลาด Spot แต่จะแตกต่างกันตรงรายละเอียดที่ทางแพลตฟอร์มได้ระบุไว้ทางด้านขวามือตามรูปประกอบ เช่น ค่าธรรมเนียม วันที่หมดอายุของสัญญาและ Funding Rate เป็นต้น
การซื้อขายสัญญา Futures สามารถทำการ Leverage ได้สูงสุดถึง 101x อย่างไรก็ตามยิ่งตัว Leverage สูงเท่าไหร่ยิ่งมีความเสี่ยงสูงมากเท่านั้น นักลงทุนควรศึกษาผลิตภัณฑ์ให้เข้าใจก่อนเริ่มใช้งาน
- Stock Tokens
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ FTX มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากนั่นก็คือการเทรดหุ้นบนตลาดคริปโต ซึ่งเป็นการ Tokenized Stocks จำลองหุ้นเป็นเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี โดยมีอัตราของหุ้นตัวนั้นมาค้ำประกันที่ 1:1 ซึ่งหุ้นเหล่านั้นก็เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี โดยจะเปิดให้เทรดแค่คู่หุ้นกับ USD เท่านั้น เช่น ARKK/USD (ARK Innovation ETF), TSLA-USD (Tesla), AAPL-USD (Apple) และ MSTR/USD (MicroStrategy) เป็นต้น
นอกจาการซื้อขายในรูปแบบของตลาด Spot แล้ว Stock Tokens นั้นยังมีในรูปแบบของ Futures อีกด้วย โดยปัจจุบันจะมีวันหมดอายุในวันที่ 24 เดือนกันยายน
ต้องบอกว่านี่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้เขียนชอบมากเนื่องจากเราไม่ต้องไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศให้ยุ่งยาก และราคาของตัว Stock Tokens นั้นก็อ้างอิงจากราคาหุ้นจริงอยู่แล้ว ทำให้เราได้ความรู้สึกเหมือนการเก็งกำไรกับหุ้นปกติ
อย่างไรก็ตาม Stock Tokens ในรูปแบบของ Futures ที่มีวันหมดายุ อาจจะมีความผันผวนของราคา นักลงทุนควรทำการศึกษาก่อนการลงทุน เนื่องจากตลาดคริปโตเคอร์เรนซีไม่ได้สัมพันธ์กับตลาดหุ้น ทำให้การหมดอายุของ Stock Tokens อาจทำให้เกิดความแตกต่างของราคาเล็กน้อย
- Leveraged Tokens
นักเทรดส่วนใหญ่ที่เล่นในตลาด Spot คงเคยเห็นเหรียญหน้าตาแปลก ๆ เช่น BTCUP และ BTCDOWN บนกระดานเทรด Binance มาแล้ว เหรียญพวกนี้คือ Leveraged Tokens ซึ่งพูดง่าย ๆ ก็คือการทำให้การเปิด Position ของ Futures มาอยู่ในรูปแบบเหรียญแทนซึ่งจะอ้างอิงมูลค่าของเหรียญตามเหรียญอ้างอิง เช่น BEAR/USD อ้างอิงกับราคา Bitcoin หรือ ETHBULL/USD อ้างอิงกับราคาเหรียญ Ethereum
หนึ่งในข้อดีที่สำคัญของ Leveraged Tokens คือไม่มี Liquidation หรือการบังคับปิดสัญญาและยังสามารถเล่นได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ซึ่งในกระดานเทรด FTX ก็มีเช่นกันโดยจะถูกแบ่งออกเป็นดังนี้
BEAR หรือ -3X
เปรียบเสมือนเหรียญที่เปิด “Short Position” ด้วย Leverage 3x ตัวอย่างเช่น ETHBEAR/USD หากราคาเหรียญอ้างอิง Ethereum มีมูลค่าร่วงลง 1% คุณจะได้รับกำไรถึง 3% แต่หาก Ethereum มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 1% คุณจะขาดทุน 3% เหรียญนี้จึงเหมาะกับผู้ที่ชอบความเสี่ยง
HEDGE -1X หรือ
เปรียบเสมือนเหรียญที่เปิด “Short Position” ด้วย Leverage 1x ตัวอย่างเช่น ETHHEDGE/USD หากราคาเหรียญอ้างอิง Ethereum มีมูลค่าร่วงลง 1% คุณจะได้รับกำไร 1% ตามเดิมแต่หาก Ethereum มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 1% คุณจะขาดทุน 1% เช่นเดียวกัน เหรียญนี้จึงเหมาะแก่ผู้ที่ไม่ชอบความผันผวนมากนัก
HALF 0.5X หรือ
เปรียบเสมือนเหรียญที่เปิด “Long Position” ด้วย Leverage 0.5x ตัวอย่างเช่น BNBHALF/USD หากราคาเหรียญอ้างอิง BNB มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 1% คุณจะได้รับกำไร 0.5% แต่หาก BNB มีมูลค่าลดลง 1% คุณจะขาดทุน 0.5% เหรียญนี้จึงเหมาะแก่ผู้ที่ไม่ต้องการความเสี่ยงสูง
VOLATILITY หรือ 1X
เป็นเหรียญที่อ้างอิงกับสัญญา FTX MOVE และ Options ซึ่งราคามีความผันผวนตามตลาด โดยเป็นเหรียญที่มีมูลค่ามากขึ้นเมื่อตลาดมีความผันผวนมากในทางกลับกัน IBVOL (Inversed Volatility Tokens) จะเป็นเหรียญที่มีมูลค่ามากขึ้นเมื่อตลาดมีความผันผวนน้อย
3X หรือ BULL
เปรียบเสมือนการเปิด Long Position ด้วย Leverage 3x ตัวอย่างเช่น ETHBULL/USD หากราคาเหรียญอ้างอิง Ethereum มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 1% คุณจะได้กำไรถึง 3% แต่หาก Ethereum มีมูลค่าร่วงลง 1% คุณจะขาดทุน 3%
- Volatility
เป็นผลิตภัณฑ์ที่อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูมากนักบนกระดานเทรดอื่น ๆ แต่สิ่งนี้ FTX ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของนักเทรดซึ่งเป็นการทำกำไรจากความผันผวนของสินทรัพย์ โดย Volatility แบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบคือ
Options
เป็นเครื่องมือที่ให้สิทธิกับนักลงทุนในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงด้วยราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าได้ ซึ่งวัตถุประสงค์ของ Options สามารถทำได้ทั้งการเก็งกำไรและป้องกันความเสี่ยง เบื้องค้นมีแค่ BTC Options ที่เปิดให้บริการ ซึ่งผู้เทรดสามารถ Call (ซื้อสัญญาซื้อล่วงหน้า) / Put (ซื้อสัญญาขายล่วงหน้า) ได้ตามต้องการ
MOVE
เป็นสัญญาการซื้อขายตามการเคลื่อนไหวของราคาสกุลเงินดิจิทัลที่มีความเสี่ยงเพียงเล็กน้อย แบ่งออกเป็นสัญญา MOVE รายวัน รายสัปดาห์และรายไตรมาส
จะแตกต่างกับสัญญา Options และ Futures ตรงที่วันหมดอายุไม่ได้หมดตามราคาของสินทรัพย์ที่ซื้อหรือ Liquidation Price หากแต่หมดอายุตามการเคลื่อนไหวของสัญญา MOVE
BVOL/IBVOL
มูลค่าของสัญญา BVOL/IBVOL เป็นมูลค่าอ้างอิงกับสัญญา FTX MOVE และ BTC-PREP หลักการง่าย ๆ คือเหรียญ BVOL จะเป็นเหรียญที่มีมูลค่ามากขึ้นเมื่อ ตลาดมีความผันผวนมากและในทางกลับกัน IBVOL (Inversed Volatility Token) จะเป็นเหรียญที่มีมูลค่ามากขึ้นเมื่อตลาดมีความผันผวนน้อย
- Prediction
เป็นรูปแบบหนึ่งของการเดิมพันเหตุการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่หลาย ๆ กระดานเทรดไม่มี แต่ FTX นำมันเข้ามายังโลกของคริปโต
จากภาพประกอบด้านล่างจะเห็นได้ว่ามี Prediction ให้เลือกซื้อขายอยู่ 3 รูปแบบ คือ OLY2021, TRUMP2024 และ BOLSONARO2022
ใน Prediction แรกจะเห็นได้ว่าเป็นการทำนายว่าโอลิมปิค 2021 จะถูกจัดขึ้นหรือไม่ ถ้าหากถูกจัดขึ้นสัญญาจะมีมูลค่า $1 และจะวิ่งไปถึง $0 หากไม่มีการจัดงานดังกล่าวท่ามกลางสถานการณ์ COVID-19
ส่วนต่อมาเป็นการทำนายผลการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาในปี 2024 ว่านาย Donald Trump จะสามารถชนะการเลือกตั้งได้หรือไม่ เช่นเดียวกับสัญญาสุดท้าย BOLSANORO ที่จะมีการเลือกตั้งในปี 2022 ทีป่ระเทศบราซิล โดยระหว่างนี้สัญญาจะมีการเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ $0 – $1
- Fiat
เป็นการซื้อขายด้วยสกุลหลักไปสู่สกุลเงินดิจิทัล เช่น USDT/USD และสกุลเงินหลัก เช่น EUR/USD รวมไปถึงสัญญา Futures ของสกุลเงิน เช่น BRZ /PREP
ฟีเจอร์หลักอื่น ๆ ที่ไม่ควรพลาด
- Volume Monitor
ในหน้า Volume Monitor ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบ Volume ของ Exchange ทั่วโลกและเปรียบเทียบความแตกต่างของแต่ละกระดานเทรดได้ ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งทำที่ให้ผู้ใช้งานตัดสินใจเลือกที่จะใช้บริการของแพลตฟอร์มได้เป็นอย่างดี
โดยในส่วนของ FTX นั้นมีวอลุ่มมากเป็นอันดับ 4 จากอัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน โดยอันดับที่ 1 เป็นพาร์ทเนอร์อย่าง Binance
- Exchange Stat
เป็นการแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกระดานเทรด เช่น Volume, เหรียญ FTT และมูลค่าตลาดเป็นต้น นับเป็นฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาเพื่อความสะดวกสบายของนักลงทุน อีกทั้งยังสามารถคาดการณ์เบื้องต้นได้ถึงเปอร์เซ็นการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไป ซึ่งมีตัวเลข มูลค่า สถิติบ่งบอกให้เห็นชัดเจนช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
- Competitions
เป็นการแข่งขันการเทรดบน FTX ซึ่งการแข่งขันก็จะแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ไปตัวอย่างเช่นการแข่งขันเทรด Stock Token, Defi Competition, BOVL และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยสามารถอ่านรายละเอียดกฎการแข่งขันรวมถึงรางวัลที่จะได้รับได้ทางด้านขวามือ
- Staking
ทาง FTX มีระบบให้ Staking FTT เหรียญประจำกระดานเทรดเพื่อรับผลตอบแทนตามจำนวนที่ระบุ
อย่างไรก็ตามผู้ใช้งานควรตรวจสอบเงื่อนไขในการ Staking และ Unstaking ให้ดีในกรณีของการถอนออกก่อนกำหนดหรือค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้ในการ Stake
- NFTs
FTX เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่มีตลาด NFT อยู่บนกระดานเทรด ทำให้เกิดความสะดวกต่อสาวกผู้ชื่นชอบศิลปะ
- Borrow/Lending
เป็นการกู้ยืมเงินบนกระดานเทรด FTX ที่มียอดเฉลี่ยต่อวันที่ 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสกุลเงินยอดนิยมได้แก่ USD ที่มียอดต่อวันสูงกว่า 400 ล้านดอลลาร์ รวมไปถึง USD และ BTC
ความปลอดภัย
FTX เป็นกระดานแลกเปลี่ยนซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลและอนุพันธ์สัญญาล่วงหน้า (Derivatives) ที่จัดตั้งขึ้นในแอนติกาและบาร์บูดาโดยมีสำนักงานใหญ่ในฮ่องกง ปัจจุบันยังไม่เปิดให้บริการสำหรับชาวอเมริกัน แต่ด้วยยอดวอลุ่มที่ติด Top 5 ของโลกทำให้ผู้เขียนรู้สึกปลอดภัยและเทรดได้อย่างสบายใจ
อีกทั้งสภาพคล่องที่สูงทำให้การเทรดบน FTX จะลื่นไหลและไม่มีความพะวงในเรื่องของราคา
หนึ่งสิ่งที่ผู้เขียนวางใจก็คือการทำ 2FA และ KYC ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของทุกกระดานเทรด โดย FTX ก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย จากประวัติแล้วทางกระดานเทรดยังไม่มีรายงานการถูกแฮ็กใดใดและนอกจากนี้ทางแพลตฟอร์มยังได้จับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับกระดานเทรดเบอร์หนึ่งของโลกอย่าง Binance อีกด้วย
สรุป
FTX เป็นกระดานเทรดน้องใหม่มาแรงที่มีให้บริการครบแทบจะทุกผลิตภัณฑ์ซึ่งตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานทั่วโลก จุดเด่นที่แตกต่างจากกระดานเทรดอื่นคือ Stock Tokens และ Leveraged Tokens ที่ดูเหมือนจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเช่นเดียวกันกับ Binance แต่แตกต่างกันตรงค่าธรรมเนียมบน FTX ที่ถูกกว่า
นอกจากนี้การใช้งานยังเอื้ออำนวยความสะดวกให้แก่นักเทรดโดยสามารถดาวน์โหลดใช้งานบนมือถือได้ทั้ง 2 เวอร์ชัน และใช้งานบนเว็บไซต์ผ่าน PC ก็สะดวกเช่นกัน แต่ด้วยความที่หลากหลายของผลิตภัณฑ์อาจทำให้นักเทรดมือใหม่นั้นต้องใช้เวลาในการศึกษา ซึ่งหากไม่มีความรู้มากพออาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการเทรดและนำไปสู่การสูญเสียเงินต้นได้
ส่วนทางด้านความปลอดภัยก็เป็นมาตรฐานที่ทุกแพลตฟอร์มให้บริการในเรื่องของ 2FA และการทำ KYC ซึ่งนี่อาจช่วยผู้ใช้งานได้ส่วนหนึ่งแต่แน่นอนว่าไม่มีอะไรปลอดภัยแน่นอน 100% บนโลกดิจิทัล แม้ว่ากระดานเทรดแห่งนี้จะไม่เคยมีประวัติการถูกแฮ็กหรือการเจาะระบบใดใด แต่นักเทรดก็ควรระมัดระวังในการใช้งานและการเก็บเงินไว้กับตนเองใน HW Wallet นั้นจะเป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด
โดยรวมแล้วเป็นแพลตฟอร์มที่น่าใช้เอามาก ๆ แม้แพลตฟอร์มจะมุ่งเน้นไปที่ตลาด Derivatives แต่ก็ยังมีตลาด Spot และอื่น ๆ ให้เลือกใช้ได้เช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นน้องใหม่มาแรงเหมาะกับนักเทรดที่ชื่นชอบความหลากหลายและแปลกใหม่ อีกทั้งยังมีค่าธรรมเนียมในการเทรดที่ถูกกว่า Binance อีกด้วย
หากผู้ที่สนใจสามารถคลิกสมัครได้ที่นี่