<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

กูรูด้าน Bitcoin อันดับ 1 ของไทยเผยถึงสาเหตุที่เว็บเทรดคริปโตในไทยถึงควรใช้ Lightning Network

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

จากปรากฎการณ์ Lightning Network (LN) ที่เติบโตมากขึ้นกว่า 23.13% หลังประเทศเอลซัลวาดอร์ประกาศให้ Bitcoin กลายเป็นสินทรัพย์อย่างถูกกฎหมายประเทศแรกของโลก ก็ได้มีผู้คนจำนวนมากให้ความสนใจกับ LN พร้อมศึกษาว่าแท้จริงแล้วสิ่งนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเรื่องต่าง ๆ นอกจากการแลกเปลี่ยน BTC ได้อย่างไร

โดยทาง Siam Blockchain ได้มีโอกาสสัมภาษณ์สดกับ อาจารย์ตั๊ม พิริยะ สัมพันธารักษ์ ผู้เชี่ยวชาญและเป็นอาจารย์สอนด้าน Bitcoin ชื่อดัง ประจำช่องยูทูป ChalokeDotCom (CDC) ซึ่งมีประสบการณ์สอนกว่า 6 ปี จะเข้ามาบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวของ Lightning Network และความเป็นไปได้ที่กระดานเทรดประเทศไทยจะนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้งาน

Lightning Network คืออะไร ทำงานอย่างไร?

ก่อนที่จะทราบว่ามันเวิร์คยังไงก่อนอื่นเราก็ต้องทราบก่อนว่า LN มีหลักแนวคิดมากจากอะไร คืออะไร และเกี่ยวข้องอะไรกับ Bitcoin 

Lightning Network เป็นสิ่งที่จะมาช่วยให้การโอน Bitcoin เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น เพราะทุกวันนี้พอคนใช้เยอะ มี transaction เกิดขึ้นถี่มากขึ้น จนนักขุดบันทึก block ลง Blockchain หลาย block แล้ว ก็ยังมาไม่ถึงคิวของ transaction ของคุณซักที ต้องรอเกือบชั่วโมง กว่าการโอนจะถูกยืนยัน ดังนั้น จึงมีคนหัวใส ออกไอเดียขึ้นมาว่า ถ้ามันช้าตรงที่เราต้องรอว่าเมื่อไรนักขุดถึงจะบันทึก transaction ของเราลง Blockchain งั้นเราก็ไม่ต้องบันทึกมันลง Blockchain ซะ ก็จบเรื่อง ไม่ต้องเสียเวลา

“หลัก ๆ เลย LN สามารถส่ง Bitcoin ให้กันได้โดยไม่ต้องรอเวลานานถึง 10 นาทีและไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการโอนแพง ๆ นี่น่าจะเป็นข้อดีที่เข้าใจได้ง่าย โดยปกติแล้ว BTC จะมีค่าโอนประมาณ 100-200 satoshi (2-4 บาท) แต่ถ้าใช้ LN ในการแลกเปลี่ยน BTC ก้อนเล็ก ๆ อาจจะฟรีเลยด้วยซ้ำ หรือถ้าแลกเปลี่ยน BTC ก้อนใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็จะอยู่ประมาณ 10 satoshi (ไม่ถึง 1 บาท) ซึ่งระยะเวลาของทั้งสองแบบก็คือแทบทันทีแต่การโอน BTC ปกติจะมีการคอนเฟิร์มบนบล็อกเชนก่อนทำให้ใช้เวลานานกว่า”

กระดานเทรดไทยจะนำ LN เข้ามาใช้งานไหม?

หากมองถึงความเป็นไปที่กระดานเทรดจะนำเอาเทคโนโลยี LN เข้ามาให้ Bitcoiners รวมถึงผู้คนทั่วไปในประเทศไทยนั้นอาจารย์ตั๊มได้กล่าวว่า “พูดยาก”

ทั้งนี้เป็นเพราะเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาผู้ใช้งาน Twitter ชื่อว่า Mr.Hodl เคยถาม CEO ของ Kraken ว่า “ทำไมไม่นำ Lightning Network มาใช้สักที การเอาเวลาไปนั่งลิสต์เหรียญ Shitcoin ทำกำไรให้กับกระเทรดมากกว่าช่วยกันพัฒนาการใช้งาน Bitcoin ให้ทีขึ้นใช่ไหม” 

คำตอบคือ “ใช่” โดยได้ให้เหตุผลไว้ว่า ตัวเขาเองทำธุรกิจกระดานเทรดเพื่อสร้างตลาดซื้อขายเหรียญ การพัฒนาการใช้งาน BTC ไม่ใช่เป้าหมายของเขา

“Lightning Network เป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยน Bitcoin ทำให้สามารถซื้อกาแฟได้ อาหารได้ สิ่งของได้ ซึ่งมองว่ากระดานเทรดไม่ใช่ตลาดที่จะต้องการให้นำ Bitcoin ไปใช้ ถามว่าถ้านำเข้ามาดีไหม ดีแน่นอน! แต่ถ้าถามว่ากระดานเทรดจะได้อะไร ในขั้นแรกอาจยังไม่ได้อะไรนอกไปจากได้ใจผู้ใช้งานบิตคอยน์อย่างแน่นอน”

ทำไมประเทศไทยยังไม่นำมาใช้งาน

อย่างที่เราทราบกันดีว่าในประเทศไทยนั้นยังไม่มีใครนำเทคโนโลยี Lightning Network เข้ามาใช้งานอย่างจริงจัง รวมถึงยังไม่มีใครคิดที่จะนำเข้ามาสู่ในประเทศแม้ว่าต่างประเทศนั้นจะมีหลายกระดานเทรดหรือกระเป๋าเงินที่นำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามาใช้กันอย่างจริงจังแล้วก็ตาม

“Bitcoin ไม่มีประเทศหรือพรมแดน แต่กระดานเทรดจำนวนมากในหลายประเทศยังไม่ได้รองรับเพราะไม่ได้ให้ผลกำไรอะไรมากมาย แต่อย่าง OKcoin, OKEx หรือ Kraken ก็จะได้ Bitcoiners ไปใช้งานเยอะ”

แน่นอนว่าหากนำเทคโนโลยี LN เข้ามาใช้งานภายในประเทศนั้นก็จะ “ได้ใจคนไทยทั้งประเทศ” อย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีดังกล่าวก็ยังพบว่าไม่ได้เหมาะกับนักลงทุนในทุกรูปแบบอยู่ดี โดยอาจารย์ตั๊มได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ว่า 

“LN เหมาะกับการใช้งานที่เป็นการโอน BTC ด้วยจำนวนที่ไม่เยอะเนื่องจากระบบคิดค่าโอนเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าหากโอนบนบล็อกเชนนั้นจะเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมแบบคงที่ ทำให้ถ้าเกิดว่าเราโอน BTC จำนวนน้อย ๆ เช่นการซื้อกาแฟ LN จะได้เปรียบมากกว่าเนื่องจากค่าธรรมเนียมการโอนฟรีหรือน้อยมากแต่ถ้าหากเป็นนักลงทุนที่ต้องการโอน BTC จำนวนมาก ๆ อัตราค่าธรรมเนียมแบบคงที่ก็จะได้เปรียบมากกว่า”

ทั้งนี้ LN ยังประสบปัญหาการใช้งานที่ยากจนเกินไปสำหรับผู้ใช้งานใหม่ เนื่องจากต้องบริหารจัดการโหนด บริหารจัดการคอนเนคชัน แชแนลต่าง ๆ ซึ่งยังถือว่าเป็นเรื่องที่ใหม่และยากมาก ๆ แต่ว่าในตอนนี้ก็มี wallet app หลายที่ที่มีการเข้ามาบริหารจัดการให้สำหรับผู้ใช้งานใหม่ที่อยากทดลอง ซึ่งก็เป็นเหมือนกับการที่เราใช้ wallet ทั่วไปอย่าง TrueMoney wallet บ้านเรานั่นเองที่จะใส่เงินไปจำนวนน้อย ๆ เพื่อใช้จ่ายประจำวันเท่านั้น

“อย่างไรก็ตามตอนนี้เราได้เห็นแนวโน้มของการที่กระดานเทรดเข้าไปจับมือกับห้างร้านต่าง ๆ ซึ่งถ้าเอา Bitcoin ไปใช้งานจริง อาจจะมีปัญหาเรื่องระยะเวลาการรอที่ยาวนานหรืออาจมีค่าธรรมเนียมที่สูง การที่กระดานเทรดนำ LN มาใช้น่าจะเป็นวิธีในการแก้ปัญหาที่ดีกว่าการเลี่ยงปัญหาไปใช้เหรียญฝากในระบบปิดเป็นต้น”

ฝากถึงกระดานเทรดไทย

“จริง ๆ แล้ว Lightning Network ยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับกระดานเทรดในไทย”

แม้ว่าปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่เอลซัลวาดอร์สนับสนุนให้ Bitcoin กลายเป็นสินทรัพย์ที่ถูกกฎหมายภายในประเทศและมีการนำมาใช้ชำระหนี้สินจำนวนมาก พร้อมทั้งการเปิดตัว Strike wallet ใน Twitter Tips ที่ใช้เทคโนโลยี LN ในสหรัฐอเมริกาและเอลซัลวาดอร์

“ปัญหาใหญ่จริง ๆ ของกระดานเทรดไทยในตอนนี้อยู่ที่ค่าถอน BTC ซึ่งอยู่ราว ๆ 0.0005 BTC หรือประมาณเกือบ 1,000 บาท ซึ่งปกติแล้วควรจะอยู่ราว ๆ 100-200 satoshi (2-4 บาท) ซึ่งส่วนที่มันต่างกันมากกว่าเกือบ 1,000 เท่านี้ไม่รู้วาเกิดขึ้นได้อย่างไร”

ในสมัยก่อน ธุรกรรมของกระดานเทรดอาจจำเป็นต้องมีการรวมธุรกรรมเล็ก ๆ จำนวนมากเพื่อส่งเงินออก ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมสูงกว่าที่เราเห็น แต่ในปัจจุบัน กระดานเทรดมักทำธุรกรรมจาก UTXO ที่มีขนาดใหญ่ และยังมีการทำการรวบธุรกรรม (Transaction Batching) ซึ่งจะช่วงประหยัดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมของกระดานเทรดไปได้อีกหลายเท่า การเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงขนาดนี้ ทำตาม ๆ กันมาตั้งแต่ช่วง 2012-2013 แต่ปัจจุบัน 2021 เวลาผ่านมากเกือบ 10 ปีแล้วก็ยังคงอัตราเดิมเอาไว้อยู่ จึงเกิดข้อสงสัยว่าเพราะเหตุใดถึงไม่คิดพัฒนาให้เป็นจริงมากขึ้น

CBDC จะนำ Lightning Network เข้ามาใช้งานไหม?

อาจารย์ตั๊มตอบด้วยคำพูดที่หนักแน่นว่า “ไม่ครับ มันไม่มีประโยชน์”

“จะใช้ LN ทำไมในเมื่อมีเพียง CBDC เท่านั้นที่สามารถคอนเฟิร์ม อนุมัติ และปิดธุรกรรมได้เองทั้งหมด รวมถึงกำหนดความเร็วในการทำธุรกรรมทั้งหมดได้ เพราะแบบนั้นความจำเป็นในการสร้างช่องทางการชำระเงินเพื่อที่จะทำ on-chain transaction นั้นไม่มีประโยชน์ นอกเหนือจากนั้น การที่คนสองคนในระบบจะทำแชแนลเชื่อมหากันเพื่อโอนเงินเข้าหากันโดยไม่มีความเชื่อในกันไม่สามารถทำได้บนระบบที่ต้องเชื่อใจตัวกลาง”

ทั้งนี้อาจารย์ตั๊มได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ผมไม่เห็นว่าเขาจะทำไปทำไมและได้ประโยชน์อะไร ไม่เห็นประโยชน์ของ CBDC ทั้งหมดตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว”