<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ยังไม่จบ: ผู้ก่อตั้ง BitConnect ถูกดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกงระดับโลก

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

แม้ว่าเหรียญแชร์ลูกโซ่อย่าง BitConnect จะถูกปิดตัวลงไปตั้งแต่ปี 2018 และมีแม่ทีมจำนวนมากที่ถูกดำเนินคดีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าทางรัฐบาลสหรัฐฯ จะยังไม่จบกับเหล่าผู้ก่อตั้งง่าย ๆ

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐประกาศว่าหนึ่งในผู้ก่อตั้ง BitConnect ถูกฟ้องอย่างเป็นทางการในข้อหาฉ้อโกง โดยหากคุณเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในวงการคริปโตมาตั้งแต่ปี 2017 คุณจะต้องรู้จักชื่อ BitConnect เป็นอย่างดีว่าเป็นโครงการแชร์ลูกโซ่คริปโตที่โด่งดังชื่อก้องโลกมากที่สุดในขณะนั้น

ดราม่ายังไม่จบ

ในการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ กระทรวงยุติธรรมกล่าวว่า Satish Kumbhani วัย 36 ปีจากเมือง Hemal ประเทศอินเดีย เคยถูกตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดในการฉ้อโกงเงินผ่านธนาคาร, การฉ้อโกงเงินผ่านธนาคาร, การสมรู้ร่วมคิดในการปั่นราคาตลาด, การดำเนินธุรกิจให้บริการแลกเปลี่ยนเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต และสมรู้ร่วมคิดในการฟอกเงินระหว่างประเทศ

ข้อกล่าวหาทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกับธุรกิจที่ชื่อว่า Bitconnect ซึ่งเป็นการขายโปรแกรมให้กู้ยืมที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ในระดับโลก โดยในขณะนั้นเคยอยู่ในอันดับที่ 20 ในรายการตลาดเหรียญคริปโตที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก

ตามที่กระทรวงยุติธรรมอธิบายไว้ Kumbhani หลอกลวงนักลงทุนจำนวนหนึ่งโดยไม่ทราบจำนวน และสามารถสร้างรายได้ไปถึง 2.4 พันล้านดอลลาร์ในกองทุนที่ได้มาโดยมิชอบ

Kumbhani ได้สร้างโครงการที่เขาเสนอบริการบอทซื้อขาย โดยสัญญาว่าผู้ที่ใช้ Bitconnect จะสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาลในตลาดคริปโต ความจริงก็คือลูกค้า BitConnect กลับทำเงินได้จากการชักชวนคนใหม่ ๆ ให้เข้ามาในธุรกิจ ซึ่งเป็นลักษณะของโครงการแชร์ลูกโซ่

นาย Eric B. Smith จากสำนักงานภาคสนามคลีฟแลนด์ของ FBI กล่าวในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่าคดี Bitconnect นั้นบ่งบอกถึงขอบเขตของการดำเนินงานของผู้ฉ้อโกงที่เข้าสู่โลกแห่ง cryptocurrencies โดยมองหาโอกาสที่จะหลบเลี่ยงกฎหมาย:

“คำฟ้องในวันนี้เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ FBI ในการระบุและจัดการกับผู้ไม่หวังดีที่หลอกลวงนักลงทุน และทำให้ความสามารถของผู้ประกอบการที่ถูกกฎหมายในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ต้องถูกบดบัง ภายในวงการคริปโตที่กำลังเกิดใหม่นี้ การปรุงแต่งแผนการฉ้อโกงที่ทำให้ดูเป็นของจริงด้วยรูปแบบใหม่และการวางฐานในต่างประเทศนั้นไม่สามารถขัดขวางการทำงานของ FBI ในการตรวจสอบอย่างพิถีพิถันและนำผู้ฉ้อฉลดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้”