<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

[บทสัมภาษณ์] อนาคตของ Web 3.0 ในไทยจะเป็นอย่างไร ‘ท็อป จิรายุส’ มีคำตอบ

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หลังจากจบงานแถลงข่าวใหญ่ของ Bitkub The Next Chapter ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่ายิ่งใหญ่จริง ๆ และอยากรีบให้อนาคตมาถึงเร็ว ๆ เลยทีเดียว ภายในงาน ทาง Bitkub chain ได้นำเสนอฟีเจอร์ใหม่มากมายและทาง Bitkub Chain เองก็แสดงให้เห็นว่าพร้อมแล้วที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้มาใช้ในอนาคตอันใกล้

ปัจจุบันเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คงไม่พ้น เรื่องของ Web 3.0 แต่ Web 3.0 คืออะไร วันนี้ทาง SiamBlockchain มีคำตอบมาให้กับเพื่อน ๆ  โดยครั้งนี้ทางเราได้รับเกียรติจากคุณท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง Bitkub และ คุณ รฐนนท์ พลานนท์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด สัมภาษณ์เกี่ยวกับความรู้และทิศทางในอนาคตของ Web 3.0 รวมถึงฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของ Bitkub Chain ที่จะเปิดตัวตามมาในอนาคต

Web 3.0 จะมีทิศทางเป็นอย่างไรในอนาคต?

คุณท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา : อินเทอร์เน็ตในอนาคตจะไม่ใช่ 2 มิติอีกต่อไปแล้ว แต่จะเป็นในรูปแบบของ 3 มิติ จากสังคมก้มหน้าจะเปลี่ยนเป็นสังคมใส่แว่นตา นอกจากนั้น Web 3.0 ยังมีคำพูด 5 คำ ได้แก่ Read ที่มีมาตั้งแต่ Web 1 คืออ่านได้อย่างเดียวต่อมาจนเป็น Web 2.0 Write สามารถเขียนได้ แต่ใน Web 3.0  จะมี Own คือการเป็นเจ้าของร่วมกัน Co-Own, Co-Developed, Co-Benefit และ Open เป็นการพัฒนาแบบเปิดคือ พัฒนามาจากคนทั่วโลก และจะสามารถสร้างโมเดลทางธุรกิจแบบใหม่ได้ในรูป X to Earn เช่น Excersise to Earn, Learn to Earn, Listen to Earn, Proof to Earn และ Watch to Earn และอื่นๆ อีกที่ซึ่งจะเกิดขึ้นมาใน Web 3.0 โดยทุกคนจะสามารถพัฒนาร่วมกัน, แบ่งปันผลกำไร หรือสามารถที่จะ ใช้ร่วมกันได้ ซึ่งนั่นจะทำให้เราสามารถเป็นเจ้าของเครือข่ายร่วมกันได้ผ่านโปรโตคอลการถือโทเค็น หรืออยากจะเป็นเจ้าของแอปพลิเคชั่นรวมกัน อย่าง DApp (Decentralization Application) ก็สามารถถือเป็น DApp โทเค็นได้

ลองคิดภาพว่า ในช่วงของ Web 2.0 ในพื้นที่จัดเก็บแอปพลิเคชั่นการดำเนินมี 5 เลเยอร์ของธุรกิจ โดยเลเยอร์ที่ 5 คือระบบปฏิบัติการ อยากให้ลองคิดภาพว่า IOS หรือ Google PlayStore เป็นเจ้าของบริษัทคนเดียว เช่น Google เป็นเจ้าของ PlayStore และ Apple เป็นเจ้าของ IOS และทุกสิบวินาทีสามารถทำเงินได้หนึ่งแสนบาท นี่คือรูปแบบ Web 2.0 ที่เป็นเจ้าของระบบปฏิบัติการคนเดียวอย่างในยุค Web 2.0 ก็เป็น Facebook, Instagram, เป็นแอปพลิเคชั่นที่สร้างขึ้น

แต่ใน Web 3.0 เนี่ยมันจะกลายเป็น Decentralization Application ถ้าอยากจะมาเป็นเจ้าของเครือข่ายด้วยกันก็โปรโตคอลโทเค็น หรือใครอยากจะสร้างแอปพลิเคชั่นใน DApp Store ก็สามารถทำได้ และจะสามารถทำให้เกิดการข้ามเชน ต่าง ๆ ซึ่งสิ่งนี้แหละจะทำให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนอิสระ (Free Flow of capital) ในช่วงที่ผ่านใน Web 1.0 หรือ Web 2.0 ก็ดี เราเห็น Free flow people กับ Free flow information มูลค่าของต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเราจะถูกแปลงให้เป็นดิจิทัลทั้งหมดและข้อมูลต่าง ๆ รอบตัวเราจะถูกแปลงให้เป็นดิจิทัลทั้งหมด ใน อีก 5-10 ปีข้างหน้า สิ่งที่เราแลกเปลี่ยนกันได้ไม่มีตายตัวเหมือนที่ข้อมูลสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ จะไม่ตายตัวอีกต่อไปเพราะกลายเป็นรูปดิจิทัลแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้ Metaverse ใหญ่มากๆ Web 3.0 ก็จะใหญ่กว่า Web 2.0 เทคโนโลยีใหม่ ๆ จะมาปลดล็อคความสามารถของมนุษย์ได้

ฟีเจอร์ใหม่ Earnkub และ Creator  จะมีบทบาทในอนาคตอย่างไร

คุณนนท์ รฐนนท์ พลานนท์ : เหมือนทาง Bitkub ได้ทำ Service อย่างเช่นคนมาให้เราทำ NFT ให้ ทำอย่างอื่นให้ แท้จริงแล้ว “เราทำบริการระหว่างทาง” เพื่อที่จะทดสอบสินค้าว่าสามารถสร้างแพลตฟอร์มได้หรือไม่

ปลายทางของเราคือสร้างแพลตฟอร์มที่สามารถให้ทุกคนเข้ามาสร้างเองได้ เพราะฉะนั้น ตัวนี้จะมีคนเข้ามาใช้และใช้งานมันโดยใช้งานจะสามารถทำให้เชนทำงานได้ เพราะสิ่งที่สำคัญสำหรับเชนก็คือธุรกิจที่อยู่บนเชน เราจึงสร้างให้เป็นหลัก 

Earnkub จะเป็นพื้นที่ที่ทำให้คนสามารถมาสร้างระบบเควสต์ได้ เพราะเราเชื่อว่าทุกคนจะต้องใช้การตลาดและระบบเควสต์ก็ถือเป็นการตลาดอย่างหนึ่ง เช่น ต้องกินข้าวที่ร้านให้ครบ 1000 บาท จะได้ NFT ตัวนึง แต่ต้องสะสม NFT ให้ครบ 10 ตัวเพื่อที่จะสามารถแลกได้อีกตัวหนึ่ง แต่ว่าจะต้องไปวิ่งใน Metaverse ด้วยนะ เพราะงั้นมันคือทั้งสองส่วนประกอบกัน เราต้องการทำตัวเชื่อมระหว่างโลกจริงกับ Metaverse และจะเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่จะทำให้ทุกคนมันก็เลยเป็นแกนหลักอย่างหนึ่งของ Bitkub Chain โดยทาง Bitkub มีความตั้งใจจะทำให้มียอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ในส่วนจะสามารถนำไปต่อยอดในวงการ อื่น ๆ ได้อีกหรือไม่นั้น คุณนนท์ ได้บอกว่า “จริง ๆ มันก็สามารถทำได้ เพราะยังไงมันก็คือแพลตฟอร์มที่ทำแล้วได้บางอย่างซึ่งบางอย่างนี้จะเป็นอะไรก็ได้ เช่น เรียน ต้องมีใบรองรับ 10 ใบถึงจะรับเข้าทำงาน อะไรทำนองนี้ซึ่งก็เป็นสิ่งที่สามารถจะขยายต่อไปได้”

สรุป

ปฏิเสธเลยไม่ได้ว่าทุกวันนี้เทคโนโลยี Web 3.0 ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อย ๆ และกำลังจะกลายมาเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ตามที่คุณท็อปได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า Web 3.0 จะกลายมาเป็น X to Earn เสมือนตัวกลางที่จะสร้างโอกาสต่าง ๆ ที่จะสามารถนำไปสู่การต่อยอดพัฒนา จากที่เคยเสียเงินเรียนหนังสือในอดีต อนาคตอาจจะเป็นเรียนแล้วได้บางสิ่งบางอย่างกลับมา เมื่อพูดถึงประเด็นนี้แล้ว ในอนาคต Bitkub Chain อาจจะมาเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อและสามารถรับรองธุรกิจบนเชนได้อย่างแข็งแกร่ง