<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

พารู้จัก 4 สกุลเงินดิจิทัลบรรพบุรุษของ “Bitcoin” ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

แน่นอนว่า Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกอย่างที่เรารู้กันดีในปัจจุบัน แต่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้ว่าก่อนที่ Bitcoin จะมาถึงจุดนี้ได้นั้น มีสกุลเงินดิจิทัลมากมายที่ถูกสร้างขึ้นมาก่อนแล้ว แต่กลับไม่มีเหรียญไหนเลยที่ประสบความสำเร็จในระดับเดียวกับ Bitcoin อย่างไรก็ตาม สกุลเงินดิจิทัลในยุคแรก ๆ เหล่านี้ได้กลายเป็นสิ่งที่ปูรากฐานให้กับ Bitcoin ในเวลาต่อมา

และในวันนี้ทางสยามบล็อกเชนจะพาทุกคนไปย้อนเวลาสำรวจโลกแห่งสกุลเงินดิจิทัล แล้วมาดูกันว่าเหรียญดิจิทัลหน้าตาแบบไหนบ้าง ที่เป็นรากฐานความสำเร็จของ Bitcoin

E-cash: คริปโตตัวแรกของจริง

E-cash หรือเงินอิเล็กทรอนิกส์ เป็นเงินดิจิทัลรูปแบบหนึ่งที่สามารถใช้เพื่อซื้อสินค้าและบริการผ่านทางออนไลน์หรือผ่านโทรศัพท์มือถือได้ โดย E-cash จะมีการเข้ารหัสแบบ RSA Blind Signatures ดังนั้นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของจึงไม่สามารถเข้าถึงได้

อินเทอร์เฟซการถอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-cash)

E-cash พัฒนาขึ้นโดย David Chaum ซึ่งถือเป็นบิดาแห่งสกุลเงินดิจิทัลในปี 1982 เขาได้ตีพิมพ์แนวคิดแรกเกี่ยวกับเงินดิจิทัลโดยไม่เปิดเผยตัวตน ลงในบทความชื่อ Blind Signatures for Untraceable Payments และเปิดตัว E-Cash ผ่านบริษัท DigiCash ของเขาในปี 1994

ในความเป็นจริงแล้วมีสถาบันมากมายให้ความสนใจกับ E-Cash ในสมัยนั้น รวมไปถึงธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง Deustche Bank, Credit Suisse และอีกหลายหน่วยงานที่ขอลงนามข้อตกลงกับบริษัท DigiCash เพื่อใช้งาน E-Cash บนแพลตฟอร์มของเขา

อย่างไรก็ตาม มีเพียงธนาคารขนาดเล็ก ๆ แค่แห่งเดียวเท่านั้นที่เคยใช้ E-Cash เป็นผลิตภัณฑ์บนแพลตฟอร์มของตน โดยธนาคารนั้นคือ Mark Twain Bank เนื่องจากบริษัท DigiCash ล้มละลายในปี 1998 และขายกิจการให้กับ eCash Technologies

ทั้งนี้ถ้าหากใครรู้จัก Google E-cash ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าสิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ E-Cash ของ David Chaum เพราะ Google E-cash เป็นโครงการวิจัยของ Google ที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบการชำระเงินดิจิทัลแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี บล็อกเชน แต่ระบบ E-cash ของ Google ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และยังไม่มีกำหนดการเปิดตัวแต่อย่างใด ดังนั้น Google E-cash และ E-cash ของบริษัท DigiCash จึงไม่ใช่เงินดิจิทัลประเภทเดียวกัน และไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน

B-Money: แรงบันดาลใจของ Bitcoin

เมื่อประมาณปี 1998 วิศวกรคอมพิวเตอร์ชื่อ Wei Dai ได้เปิดตัว B-Money ในฐานะระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบหนึ่งที่ไม่ระบุชื่อ เขาอธิบายว่า B-Money เป็น “โปรเจกต์ที่ช่วยให้กลุ่มคนสามารถใช้นามแฝงดิจิทัลเพื่อจ่ายเงินให้กันและกัน และบังคับใช้สัญญาระหว่างกันได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลที่สาม”

จากคำกล่าวของเขา B-Money น่าจะเป็นเหรียญรุ่นบรรพบุรุษที่ใกล้เคียงกับ Bitcoin มากที่สุด และเหรียญนี้ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งในต้นกำเนิดของ Bitcoin ด้วยเช่นกัน เพราะในอดีต Satoshi Nakamoto เคยส่งอีเมลถึง Wei Dai เพื่อแสดงความสนใจใน B-Money และ whitepaper ของเขา ดังนั้น Bitcoin อาจได้รับแรงบันดาลใจจากงานของ Wei Dai ก็เป็นได้

นอกจากนี้ Wei Dai ยังเคยกล่าวไว้ด้วยว่าเขาจินตนาการถึงโลกที่สกุลเงินดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งของ “Crypto-anarchy” ซึ่งเป็นอุดมคติทางสังคมและการเมืองที่สนับสนุนการใช้เทคโนโลยี Crypto เพื่อลดทอนอำนาจของรัฐบาลและสถาบันอื่น ๆ ที่ต้องการควบคุมผู้คน

Bit Gold: Bitcoin เวอร์ชันแรก

ในช่วงทศวรรษ 1990 มีกลุ่มคนที่ชื่อว่า Cypherpunks ในหมู่วิศวกรคอมพิวเตอร์ โดยพวกเขาคือกลุ่มนักวิชาการและนักกิจกรรมที่อุทิศตนเพื่อสนับสนุนความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพส่วนบุคคลด้วยการใช้เทคโนโลยี Crypto เพื่อทำให้สกุลเงินมีความปลอดภัยและไว้วางใจได้มากขึ้น

Nick Szabo เป็นคนหนึ่งในกลุ่ม Cypherpunks ที่พัฒนา Bit Gold ขึ้นมา ซึ่งเหรียญนี้ก็มีฟีเจอร์หลายอย่างที่เหมือนกับ Bitcoin เช่น เครือข่ายแบบ peer-to-peer, การขุด, Proof-of-Work, บัญชีแยกประเภทสาธารณะ (public ledger), การเข้ารหัส (cryptography) ฯลฯ

อันที่จริง ความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่สุดของ Bit Gold คือการเปลี่ยนไปสู่การกระจายอำนาจ และแนวคิดในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อแก้ไข cryptographic puzzles (การขุด) ดังนั้นหลายคนจึงคาดเดาว่า Nick Szabo คือ Satoshi Nakamoto ตัวจริง เนื่องจาก Bit Gold คล้ายกับ Bitcoin เป็นอย่างมาก แต่ Nick Szabo ได้ออกมาปฏิเสธเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

HashCash: บล็อกเชนที่มาก่อน Bitcoin

Adam Back ได้พัฒนา HashCash ขึ้นในปี 1997 และเผยแพร่แนวคิดนี้ในปี 2002 ในชื่อ “Hashcash – A Denial of Service Counter-Measure” พร้อมทั้งเสนอว่าสามารถใช้สกุลเงินนี้เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ DDos และสแปมอีเมล โดย HashCash ใช้อัลกอริธึม Proof-of-Work แบบ hash-based เพื่อสร้างและแจกจ่ายเหรียญใหม่ ๆ จนในที่สุด เหรียญนี้จะหมดความนิยม เนื่องจากต้องพลังในการประมวลผลที่สูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

ที่มา: reddit