<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ทองคำทะลุ 40,000 บาท ทำจุดสูงสุดตามหลัง Bitcoin ในปี 2024 หรือว่าทั้ง 2 มีบางอย่างเหมือนกัน?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ปัจจุบันโลกของเรากำลังมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ในขณะที่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนก็ยังสร้างแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย จึงหันมาย้ายเงินลงทุนของตน มาสู่สินทรัพย์ปลอดภัยที่สามารถรักษามูลค่าไว้ได้ในระยะยาว หรือเรียกกันว่าสินทรัพย์ประเภท ‘Save Heaven’

เมื่อเช้าวันที่ 3 เม.ย. 2024 ราคาทองคำแท่ง ขายออกบาทละ 39,600 บาท ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 40,100 บาท เรียกได้ว่าตัวเลขราคาทองคำ ทำให้คนได้เห็นราคาที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่นเดียวกับ Bitcoin ที่ก่อนหน้านั้นไม่นาน ได้ทำราคาสูงสุดในประวัติการณ์ที่ 2.5 ล้านบาท ต่อ 1 BTC ซึ่งทั้ง 2 เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นในปีเดียวกัน จึงเป็นที่น่าสังเกตุว่า นอกจากเรื่องราคาแล้ว ทั้ง ‘ทองคำ’ และ Bitcoin นั้นมีอะไรที่เหมือนกันอีกหรือเปล่า

สิ่งที่ Bitcoin มีความเหมือนกับ ‘ทองคำ’

ส่วนที่ทำให้มันมีความเหมือนกัน คือ มูลค่าของพวกมัน โดยเริ่มต้นที่ ‘ทองคำ’ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ ‘ทองคำ’ มีมูลค่า และมีการใช้อย่างแพร่หลายมายาวนานถึง 4,600 ปี นั่นก็คือ ความหายาก และการมีจำนวนจำกัดนั่นเอง สิ่งนี้ทำให้รัฐบาลประเทศต่างๆเลือกที่จะถือครองทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อทำให้เราจะเห็นได้ว่าราคาของมันนั้น มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกปี ถึงแม้บางปีอาจจะเพิ่มน้อยไปหน่อยก็ตาม  

 โดยทองคำทั้งหมดบนโลกจะขึ้นอยู่กับ ปริมาณทองคำที่ถูกค้นพบ ซึ่งได้มาจากการขุดของเหมืองทองในประเทศต่างๆ ซึ่งตอนนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามีจำนวนทั้งหมดเท่าไหร่กันแน่

ในขณะที่ การขุด Bitcoin ก็คือ การใช้พลังงานในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ ซึ่งหากเทียบเรื่องความหายากแล้ว ค่าไฟในการขุด Bitcoin นั้นมากกว่าค่าใช้จ่ายในการขุดทองเสียอีก  ซึ่งการขุด Bitcoin นั้นมีไว้เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของธุรกรรมการเงินต่างๆ อย่างเช่น การโอนเงิน รับ-ส่ง หรือการแลกเปลี่ยนซื้อขายต่างๆ ในเครือข่ายบิตคอยน์ ให้มีความถูกต้อง โดยทุกอย่างกล่าวมานี้ เพื่อเป็นการปกป้องมูลค่าของบิตคอยน์และเพื่อให้แน่ใจได้ว่า 1 BTC  จะมีค่าเทียบเท่ากับ 1 BTC อยู่เสมอนั่นเอง 

ปัจจุบันมีจำนวน Bitcoin ที่ถูกขุดออกมาได้แล้วประมาณ 19 ล้านเหรียญ (BTC) โดย Bitcoin ชุดใหม่ที่ระบบจะปล่อยออกมาจะถูกหักลดลงไปครึ่งหนึ่งทุกครั้งเมื่อเวลาผ่านไป หรือที่เรียกว่าการเกิด ‘Bitcoin Halving’ ซึ่งก็ได้มีการคำนวณเอาไว้แล้วว่า Bitcoin ชุดสุดท้ายจะถูกปล่อยออกมา จะอยู่ในปี 2120 หรือประมาณ 100 ปีต่อจากนี้ เมื่อนั้นโลกเราก็จะมี Bitcoin ทั้งหมดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ

ซึ่งในปี 2024 เราได้เห็นการยอมรับของ Bitcoin ที่เพิ่มมากขึ้นจากทางฝั่งรัฐบาล โดยเริ่มต้นปี มาด้วยการอนุมัติกองทุน Bitcoin ETF จาก ก.ล.ต. สหรัฐ อย่างเป็นทางการ และเราจะเริ่มเห็น Bitcoin ไปโผล่อยู่ใน Balance sheet หรืองบการเงินของบริษัทเอกชนต่างๆ  โดยเป็นหนึ่งในทรัพย์สินของบริษัท เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และเป็นการลงทุนของบริษัทเหล่านั้นไปพร้อมกัน ได้มากขึ้นเรื่อย

ถึงแม้ว่า ‘ทองคำ’ และ Bitcoin จะมีความเหมือนกัน ในเรื่องของการมีจำนวนจำกัด และ เป็นทางเลือกให้การป้องกันความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อ แต่ต้องยอมรับว่าสิ่งที่แตกต่างของ ‘ทองคำ’ กับ Bitcoin  คือความผันผวนของราคานั่นเอง 

แม้เราจะเห็นได้ว่าราคาทองคำนั้นมีความมั่นคงกว่า แต่สิ่งที่ Bitcoin ให้กลับคืนมาในส่วนนี้ก็คือโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยหากเทียบกันจากต้นปี ทองคำมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาประมาณ 20% แต่ Bitcoin มีมูลค่าขึ้นมากว่า 60%  

อย่างไรก็ตามความผันผวนของ Bitcoin อาจทำให้รายย่อยนั้นเกิดความกังวล แต่ต้องบอกเลยว่า สิ่งนี้ไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับรายใหญ่ ที่เข้าใจ Cycle ของ Bitcoin เนื่องจาก Bitcoin นั้นจะเกิดเหตุการณ์ Bitcoin Halving ในทุก ๆ 4 ปี และทำให้ราคาในระยะยาวขึ้นได้อย่างมั่นคงเช่นเดียวกับทองคำ 

แต่ถ้าหากรายย่อยบางคนยังมองว่า 4 ปีนั้นยาวนานเกินไป และยังไม่มีเงินเย็นนานขนาดนั้น ไม่เป็นไรครับ ผมอยากแนะนำว่า ในช่วงตลาดขาขึ้น สิ่งที่คุณทำได้และมีประโยชน์มากที่สุดคือหาความรู้เกี่ยวกับ Bitcoin ให้มากที่สุดและคอยติดตามข่าวในโลกคริปโตอยู่เรื่อยๆ เพื่อที่ช่วงที่ราคา Bitcoin ย่อตัว คุณจะได้มีโอกาสวางแผนการลงทุน ได้อย่างเหมาะสมกับตัวคุณ จากความรู้ที่คุณหามาทั้งหมดนั่นเอง