<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Max Keiser ลั่น “มีแค่ Bitcoin เท่านั้นที่ปลอดภัย” หลังผู้สร้าง Telegram ถูกจับกุม!

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

พาเวล ดูรอฟ ผู้ก่อตั้ง Telegram ถูกจับกุมในข้อหาหนัก เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ขณะเดินทางถึงสนามบิน Le Bourget ในฝรั่งเศส ข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงรวมถึงข้อกล่าวหาการก่อการร้าย, การค้ายาเสพติด, การสมรู้ร่วมคิด, การฉ้อโกง, และการฟอกเงิน ทำให้เขาอาจต้องเผชิญโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปี 

เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อวงการคริปโตอย่างรุนแรง โดยเฉพาะโทเค็น TON ของ Telegram ที่ราคาตกฮวบลง 15% และมูลค่าสินทรัพย์ที่ล็อกไว้บนบล็อกเชนลดลงอย่างมีนัยสำคัญลดลงถึง 61.3%

การจับกุมครั้งนี้สร้างความฮือฮาในวงกว้าง ทั้งในแวดวงเทคโนโลยีและการเงิน เนื่องจากพาเวล ดูรอฟ เป็นบุคคลสำคัญในอุตสาหกรรมบล็อกเชนและมีอิทธิพลต่อการพัฒนาของ Telegram ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสื่อสารที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลก โดยหนึ่งในผู้ที่ออกมาแสดงความเห็นคือ Max Keiser ผู้มีมุมมองแบบสุดโต่งต่อ Bitcoin (BTC) และเขายังเป็นที่ปรึกษาของ Nayib Bukele ประธานาธิบดีของประเทศเอลซัลวาดอร์อีกด้วย

ในโพสต์ล่าสุดบน X ของ Max Keiser ออกมากล่าวว่า BTC ยังคงเป็นสกุลเงินคริปโตตัวเดียวที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง และเขายังชี้ให้เห็นอีกว่าอัลท์คอยน์ตัวอื่น ๆ อย่างเช่น XRP และ Cardano มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับปัญหาทางกฎหมายมากกว่า ในขณะที่ Satoshi Nakamoto ผู้สร้าง Bitcoin ยังคงเป็นบุคคลลึกลับเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านั้น

Bitcoin จะเป็นรายต่อไปหรือไม่?

ในขณะที่ชุมชนคริปโตเสียงแตกออกเป็น 2 ฝั่ง โดยที่ฝั่งแรกมีความเห็นว่า หากเจ้าหน้าที่รัฐบาลประสบความสำเร็จในคดีของ Pavel Durov ต่อไป Bitcoin อาจจะอยู่รอดได้อีกไม่นาน เพราะถ้าหาก Telegram ล้มลงและ Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลตัวแรกสุดก็อาจล้มตามไปด้วย แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยก็ตาม ทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกตว่า หากรัฐบาลชนะในคดีครั้งนี้ พวกเขาอาจจะต้องการชนะอีกครั้งในอนาคต

ในทางกลับกันฝั่งที่สองมีความเห็นว่า หากตำรวจสากลสามารถระบุตัวตนของ Satoshi Nakamoto ได้ เขาคงจะถูกจับกุมตัวไปนานแล้ว 

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์เหล่านี้อาจแสดงให้เราเห็นถึง ความเฉลียวฉลาดของผู้ร่วมก่อตั้ง Bitcoin อย่าง Satoshi Nakamoto ที่ยังคงปกปิดตัวตนไว้ได้จนมาถึงปัจจุบัน ซึ่งช่วยให้มันหลีกเลี่ยงจากปัญหาต่าง ๆ มากมาย

ที่มา:U.Today