รายงานระบุว่า ประเทศสิงคโปร์กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ กับการชำระเงินด้วย Stablecoin
ตามรายงานของ Bloomberg News เมื่อวันพุธที่ 11 กันยายน โดยอ้างอิงจากข้อมูลของ Chainalysis ระบุว่า การชำระเงินด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศสิงคโปร์ สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 เพิ่มสูงขึ้นถึงระดับจุดสูงสุดใหม่ ที่เกือบ 1 พันล้านดอลลาร์
Eric Jardine หัวหน้าฝ่ายวิจัยอาชญากรรมไซเบอร์ของ Chainalysis กล่าวว่าพ่อค้าแม่ค้าใช้ stablecoin เนื่องจากมี “ประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำ” ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า การชำระเงินด้วย stablecoin ในสิงคโปร์ มีมูลค่าประมาณ 161 ล้านดอลลาร์ ในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว
Stablecoin ถูกออกแบบมา เพื่อรักษามูลค่าไว้คงที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และได้รับการหนุนหลังด้วยเงินสดหรือพันธบัตรสำรอง ซึ่งส่วนใหญ่มักใช้สำหรับการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล และตามที่ Bloomberg ระบุ บางครั้ง Stablecoin ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากได้รับความนิยมในกลุ่มอาชญากร
อย่างไรก็ตาม ตามรายงานของ Bloomberg ระบุว่า การชำระเงินด้วย Stablecoin คิดเป็นสัดส่วนเล็กน้อยของการชำระเงินทั้งหมด เมื่อเทียบกับวิธีการชำระเงินแบบอื่น ๆ เช่น บัตรค้าปลีก ที่มีมูลค่า 56,200 ล้านดอลลาร์ในสิงคโปร์ สำหรับช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว
สิงคโปร์ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการมีการใช้ดิจิทัลมากที่สุดในโลก โดยกำลังพยายามทำให้เป็นศูนย์กลางของสินทรัพย์ดิจิทัล ตามการวิจัยของ PYMNTS Intelligence
รายงานในช่วงต้นปีนี้โดย Coinbase และ Seedly พบว่า 57% ของผู้ที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์ “ที่มีความสนใจด้านการเงิน” เป็นเจ้าของสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งผู้ที่ได้รับการสัมภาษณ์ส่วนใหญ่ ลงทุนอยู่ระหว่าง 1,000 ถึง 25,000 ดอลลาร์
Coinbase กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีกับผลลัพธ์ของการสำรวจล่าสุดในสิงคโปร์ที่เน้นย้ำให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในสกุลเงินดิจิทัลและการ staking ซึ่งยืนยันความเชื่อมั่นของเราว่า เทคโนโลยีแบบ decentralized มีพลังในการขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน และเป็นตัวแทนของอนาคตทางการเงิน”
PYMNTS กล่าวว่า Stablecoin แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการปรับปรุงธุรกรรมข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจต่อธุรกิจ (ภาคส่วน B2B)
Sheraz Shere หัวหน้าฝ่ายการชำระเงินของ Solana Foundation กล่าวกับ PYMNTS เมื่อเดือนพฤษภาคมว่า ” สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้ว่า สกุลเงินดิจิทัลไม่ได้มีแค่ Bitcoin , Doge และ NFT เท่านั้น… บล็อกเชนเป็นทางเลือกสำหรับการชำระเงินและสินทรัพย์ทางการเงิน”
Sheraz Shere กล่าวเสริมว่า “ปัญหาคือ เทคโนโลยีนี้ยังไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้ ทั้งหมดได้รับการออกแบบโดยวิศวกร … เพื่อให้เน้นที่เทคโนโลยีเป็นหลัก ไม่ได้เน้นที่กรณีการใช้งานหรือ UX”
รายงานดังกล่าวระบุว่า วิธีการชำระเงินระหว่างประเทศแบบดั้งเดิม เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร อาจใช้เวลานาน มีราคาแพง และมีอุปสรรคด้านกฎระเบียบ แต่ Stablecoin เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากกว่า โดยสามารถทำธุรกรรมได้เกือบจะทันที มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า และมีตัวกลางที่น้อยกว่า
PYMNTS กล่าวว่า “เนื่องจาก Stablecoin ถูกผูกไว้กับสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ ธุรกิจต่าง ๆ จึงสามารถใช้ Stablecoin เพื่อทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของสกุลเงินที่อาจส่งผลต่อจำนวนเงินที่ได้รับหรือการจ่ายออกไป”
ที่มา : pymnts