<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เปิดเทคนิคลงทุนสไตล์ Elon Musk ! รู้จัก “Idiot Index” แนวคิดที่อาจเปลี่ยนมุมมองลงทุนของคุณไปตลอดกาล

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ถ้าให้พูดถึงคนที่มองโลกธุรกิจแบบแหวกแนว ชนิดที่ว่าเอาหลักฟิสิกส์มาใช้จนคนทั้งโลกต้องอึ้ง ชื่อของ Elon Musk คงจะต้องขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะ Musk ไม่ได้ปั้นแค่บริษัท Tesla, SpaceX หรือ Neuralink แต่เขาเป็นผู้ที่ปลดล็อกวิธีคิดใหม่ๆ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านั้น และหนึ่งในแนวคิดที่เจ็บแต่จริงที่สุดก็คือ “Idiot Index” หรือดัชนีวัดความโง่ของธุรกิจนั่นเอง

Idiot Index คืออะไร?

Idiot Index ไม่ใช่วิธีการคำนวณที่ซับซ้อนจนหลายคนไม่เข้าใจ แต่มันคือการคำนวณแบบง่ายๆ ที่ Musk ใช้เพื่อชี้ให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพในระบบการผลิต ซึ่งนิยามของมันก็คือ Idiot Index (i) = ราคาต้นทุนสินค้าพร้อมขาย (Cf) ÷ ราคาวัตถุดิบ (Cm)

หากพูดให้เข้าใจง่ายๆ มันคือตัวเลขที่บอกว่า ต้นทุนสินค้าเวอร์ชันพร้อมขาย มีราคาแพงกว่าวัตถุดิบตั้งต้นของมันกี่เท่า ยิ่งตัวเลขนี้สูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งสะท้อนว่ามี “ความโง่” ในระบบมากเท่านั้น เพราะระหว่างวัตถุดิบตั้งต้นจนถึงสินค้าสำเร็จรูป มันมีคนกลาง, กระบวนการที่ซับซ้อน, หรือการบริหารที่ซ้ำซ้อนจนบวกกำไรกันไปหลายทอด นี่คือโอกาสทองสำหรับคนที่จะเข้ามาปฏิวัติวงการ และทำให้มันมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เมื่อคุณเข้าใจ Idiot Index คุณอาจมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจแบบเดียวกับที่ Musk มอง โดยตัวเขาเคยเล่าว่า ก่อนที่ SpaceX จะเข้ามา Disrupt อุตสาหกรรมอวกาศ ต้นทุนการส่งจรวดหนึ่งเที่ยวเคยพุ่งไปสูงถึง 150 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบจริงๆ แค่ 10 ล้านดอลลาร์เท่านั้น 

ตัวเลขเหล่านี้คือ Idiot Index ที่สูงถึง 15 ซึ่งเป็นสิ่งที่ Musk มองว่า “โง่” เกินกว่าจะปล่อยไว้ ด้วยการใช้แนวคิดแบบ “First Principles Thinking” คือการคิดจากหลักการพื้นฐานว่า “จรวดทำมาจากอะไรและมีต้นทุนเท่าไหร่” SpaceX จึงสามารถลดต้นทุนเหลือเพียงเศษเสี้ยวจากของเดิม และกลายเป็นเจ้าตลาดแห่งอวกาศได้ในปัจจุบัน

Idiots Index ในอุตสาหกรรมอื่นและบทสรุปสำหรับนักลงทุน

แนวคิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การผลิตสินค้าเท่านั้น แต่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกอุตสาหกรรม เช่นใน วงการการเงินแบบดั้งเดิมที่เต็มไปด้วยค่าธรรมเนียมและตัวกลางที่มากมาย นั่นหมายถึง อุตสาหกรรมนั้นมีค่า Idiot Index ที่สูงมาก ซึ่งทำทำให้บริษัทฟินเทคอย่าง Robinhood สามารถเข้ามาปฏิวัติวงการเทรดหุ้นได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุน และตัดคนกลางออกไป จนบริษัทประสบความสำเร็จมาจนถึงปัจจุบัน

ในโลกคริปโตเองก็เช่นกัน วงการ DeFi บน Etherum ได้เข้ามาปฏิวัติระบบการเงินแบบเดิมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกันอย่าง โปรโตคอล Aave ที่เสนอให้บริการกู้ยืม และให้ผลตอบแทนจากการฝากเหรียญ Stablecoin อย่าง USDC หรือ USDT ที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยธนาคารแบบดั้งเดิม โดยให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 5-6% (หรือสูงกว่า 10% สำหรับ Stablecoin ตัวอื่นที่มีความเสี่ยงสูงกว่า) 

ดังนั้น สำหรับนักลงทุน Idiot Index จึงเปรียบเสมือนเรดาร์ที่ช่วยให้เรามองเห็นโอกาสในการลงทุนที่ซ่อนอยู่ หากคุณเจออุตสาหกรรมที่มี Idiot Index สูง นั่นคือสัญญาณว่า มีช่องว่างให้บริษัทใหม่ๆ ที่ฉลาดกว่าเข้ามา Disrupt เพื่อชิงส่วนแบ่งกำไรตรงนั้น 

แต่ในทางกลับกัน หากเจอธุรกิจที่มี Idiot Index ต่ำและยังมีกำไรสูง นั่นอาจหมายถึงบริษัทนั้นมีคุณค่าที่ไม่ได้มาจากวัตถุดิบเพียงอย่างเดียว หรือเป็นธุรกิจที่ทำทุกอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว การเข้าไปแข่งขันด้วยจะยากมาก

สิ่งสำคัญคือ Idiot Index ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นเครื่องมือที่บังคับให้เรามองทุกธุรกิจจากแก่นแท้และหลักการพื้นฐาน Musk เชื่อว่า “ธุรกิจส่วนใหญ่ตายเพราะไม่เข้าใจกฎฟิสิกส์” ถ้าเราไม่เข้าใจว่าต้นทุนที่แท้จริงคืออะไร และปล่อยให้มี “ความโง่” ในระบบมากเกินไป ก็เตรียมตัวรอวันให้คนที่เข้าใจเรื่องนี้เข้ามาเปลี่ยนเกมได้เลย

ที่มา:passionateaboutoss ,jackojj และ thefinancialbrand