ตลาดสกุลเงินดิจิทัลเผชิญกับเหตุการณ์เทขายอย่างรุนแรงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (22 ก.ย.) หลังจากเกิดคลื่นสึนามิการบังคับปิดสถานะ (Liquidation) ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม โดยมีนักเทรดฝั่ง Long (ที่เดิมพันว่าราคาจะขึ้น) ถูกล้างพอร์ตไปเป็นมูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
เหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลให้ราคาเหรียญดิ่งลงทั้งกระดาน โดย Ether (ETH) ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ราคาดิ่งลงถึง 9% ไปแตะระดับ 4,075 ดอลลาร์ ขณะที่ Bitcoin (BTC) ร่วงลง 3% และ Altcoin อื่นๆ เช่น Solana, Algorand และ Avalanche ก็ปรับตัวลดลงอย่างหนักเช่นกัน
เกิดอะไรขึ้น? คลื่น ‘ล้างพอร์ต’ ที่ไร้สาเหตุชัดเจน
นักวิเคราะห์ตลาดชี้ว่าการเทขายครั้งนี้ไม่มี “ข่าวร้าย” ที่เป็นตัวกระตุ้นอย่างชัดเจน แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากโครงสร้างของตลาดเอง เมื่อการล้างพอร์ตของนักเทรดกลุ่มหนึ่งได้ส่งผลกระทบเป็นโดมิโน กดดันให้ราคาลดลงอย่างรวดเร็วและลุกลามไปทั่วทั้งตลาด
ทิโมธี มิซีร์ (Timothy Misir) หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ BRN กล่าวว่า “ตลาดกำลังย่อยเหตุการณ์ล้างพอร์ตครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของปี” เขามองว่า “แม้ปัจจัยพื้นฐานระยะยาวจาก ETF และสถาบันการเงินจะยังคงแข็งแกร่ง แต่ภาพรวมในระยะสั้นนั้นเปราะบางอย่างยิ่ง”
มิซีร์ได้ให้แนวต้านสำคัญไว้ว่า หาก Bitcoin ไม่สามารถกลับไปยืนเหนือ 115,000 ดอลลาร์ ได้ ก็มีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลงไปลึกกว่านี้
สัญญาณอันตราย เมื่อเทรนด์ ‘บริษัทซื้อคริปโต’ เริ่มแผ่ว
โมเมนตัมขาขึ้นของตลาดคริปโตในช่วงก่อนหน้านี้ได้รับแรงหนุนสำคัญจากเทรนด์ “Digital-Asset Treasuries” หรือการที่บริษัทมหาชน เช่น Strategy ของไมเคิล เซย์เลอร์ และ Metaplanet ของญี่ปุ่น แห่เข้าซื้อ Bitcoin และ Ether เก็บเป็นสินทรัพย์คงคลังของบริษัท
จอร์จ แมนเดรส (George Mandres) เทรดเดอร์อาวุโสจาก XBTO Trading กล่าวว่า “ตอนนี้รู้สึกเหมือนตลาดต้องการการพักหายใจ และนักลงทุนบางส่วนเริ่มกังวลว่าเทรนด์ ‘บริษัทซื้อคริปโต’ กำลังจะหมดแรง และยังไม่มีเม็ดเงินลงทุนก้อนใหม่ๆ ที่มีนัยสำคัญเข้ามา”
เจาะลึกอินดิเคเตอร์ สัญญาณ ‘หมี’ ที่ชัดเจนที่สุดในรอบปีของ Ether
ข้อมูลจาก CryptoQuant ได้แสดงสัญญาณที่น่ากังวลอย่างยิ่งในตลาด Ether โดย Funding Rate ของสัญญาฟิวเจอร์สได้ “พลิกกลับมาติดลบ” และลงไปอยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปีที่แล้ว
โดยปกติแล้ว ฝ่าย Long จะเป็นผู้จ่ายค่าธรรมเนียม (Funding Fee) ให้กับฝ่าย Short แต่เมื่อ Funding Rate ติดลบ สถานการณ์จะกลับตาลปัตร นั่นหมายความว่าตอนนี้ ฝ่ายที่แทงลง (Short) มีอำนาจเหนือกว่า และกำลังเป็นฝ่ายรับเงินจากฝ่ายที่แทงขึ้น (Long) ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ภาวะตลาดหมีที่ชัดเจน
สรุป
เหตุการณ์ “วันจันทร์เดือด” เป็นเครื่องเตือนใจถึงความเสี่ยงของการใช้ Leverage ในตลาดคริปโต แม้ภาพรวมระยะยาวยังดูดี แต่ในระยะสั้นตลาดกำลังเปราะบางอย่างยิ่ง และที่น่าสังเกตคือตลาดคริปโตกำลังทำผลงานได้แย่กว่าสินทรัพย์ดั้งเดิมอย่างหุ้นและทองคำ ซึ่งบ่งชี้ว่านี่อาจเป็นปัญหาเฉพาะตัวของตลาดคริปโตเอง ไม่ใช่ภาพรวมของตลาดการเงินทั้งหมด
ที่มา: finance.yahoo

