<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สถิติแฮ็กคริปโตปี 2025 พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดันกระแสหันใช้กระเป๋า Non-Custodial เพิ่มขึ้น 

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในปีที่การแฮ็กคริปโตพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ Best Wallet (BEST) โดดเด่นในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีกระเป๋าเงินดิจิทัลแบบไม่เก็บสินทรัพย์ของผู้ใช้ (Non-Custodial Wallet) ที่เน้นความปลอดภัยเป็นหลัก ซึ่งถือว่า เป็นอีกหนึ่งเหรียญระดมทุนในช่วงเริ่มต้นใหม่ที่น่าจับตามอง

แม้อุตสาหกรรมคริปโตจะมีความน่าเชื่อถือ และได้รับการยอมรับจากสถาบันการเงินมากขึ้น แต่ปี 2025 กลับเป็นปีที่เกิดความสูญเสียจากการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ยิ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นของการปกป้องนักลงทุนด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า

ระบบป้องกันของ Best Wallet เริ่มต้นจากสถาปัตยกรรมแบบไม่เก็บสินทรัพย์ของผู้ใช้ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมกุญแจส่วนตัว (Private Keys) ได้อย่างเต็มที่ และยังขยายขอบเขตความปลอดภัย ด้วยฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การป้องกัน MEV (Maximal Extractable Value) ที่จะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ รวมถึงเครื่องมือรักษาความปลอดภัยล้ำสมัยอื่น ๆ ที่ออกแบบมา เพื่อปกป้องทุกธุรกรรม

ในปัจจุบัน Best Wallet สามารถระดมทุนได้เกือบ 17 ล้านดอลลาร์ ผ่านการระดมทุนในช่วงเริ่มต้น แต่เวลาสำหรับนักลงทุนช่วงแรกกำลังจะหมดลง เนื่องจากโปรเจกต์ได้ยืนยันแล้วว่า  ารระดมทุนในช่วงเริ่มต้นจะสิ้นสุดภายในเดือนนี้ เหลือเวลาอีกไม่กี่วันสุดท้ายในการเข้าร่วมโทเค็น BEST ในราคาปัจจุบัน

ขณะนี้ราคาโทเค็นซื้อขายอยู่ที่ 0.025925 ดอลลาร์ และจะค่อย ๆ ปรับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงช่วง Token Generation Event (TGE) 

นักลงทุนช่วงแรก จึงควรรีบตัดสินใจ เพราะเมื่อมีการลิสต์ในตลาดซื้อขายหลักทรัพย์ใหญ่ ๆ ศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าของโทเค็น อาจพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก มอบโอกาสในการทำกำไร สำหรับผู้ที่เข้าร่วมตั้งแต่ช่วงแรก

ท่ามกลางกระแสการแฮ็กคริปโตที่ทำสถิติสูงสุด นักลงทุนเริ่มหันไปใช้กระเป๋าเงิน แบบไม่เก็บสินทรัพย์ของผู้ใช้ (Non-Custodial Wallet) เพื่อความปลอดภัยที่มากกว่า

เมื่อปีที่แล้ว แพลตฟอร์มข้อมูลบล็อกเชน Chainalysis รายงานว่า ในปี 2024 มีการแฮ็กคริปโตเกิดขึ้นมากกว่า 303 ครั้ง เพิ่มขึ้น 22.2% จากปี 2023 โดยมูลค่าความเสียหายรวมอยู่ที่ 2.2 พันล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 7.45% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

แหล่งที่มา: https://www.chainalysis.com/blog/crypto-hacking-stolen-funds-2025/

ในปี 2025 สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงกว่าที่ผ่านมา โดยภายในระยะเวลาเพียงครึ่งปีแรกของปี 

Pascal Gauthier ซีอีโอของ Ledger เปิดเผยว่า มีมูลค่าคริปโตถูกขโมยไปแล้วกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเท่ากับยอดรวมของการแฮ็กตลอดทั้งปีที่ผ่านมา 

ตัวเลขนี้ถือเป็นระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้คริปโตจะได้รับการยอมรับมากขึ้นในวงการการเงินแบบดั้งเดิมก็ตาม

เมื่อต้นปีนี้ แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตในดูไบอย่าง Bybit ประสบเหตุการณ์การแฮ็กครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีเหรียญ Ethereum (ETH) มูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถูกขโมยไป 

รายงาน ได้เชื่อมโยงเหตุการณ์นี้กับกลุ่ม Lazarus Group จากเกาหลีเหนือ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อน และการจัดการอย่างเป็นระบบของการโจมตีทางไซเบอร์ในปัจจุบัน

จากเหตุการณ์เหล่านี้ ผู้ใช้งานเริ่มให้ความสำคัญกับคุณสมบัติด้านความปลอดภัยของกระเป๋าเงินคริปโตมากขึ้น หลายคนหันมาใช้กระเป๋า เก็บแบบออฟไลน์ (Cold Storage) โดยตลาดกระเป๋าฮาร์ดแวร์คริปโตทั่วโลก มีมูลค่าราว 918.28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่า จะเติบโตถึง 14.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033  หรือเพิ่มขึ้นกว่า 1,479% จากระดับปัจจุบัน

ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้งานจำนวนมาก ก็เริ่มหันมาใช้กระเป๋าเงินแบบไม่เก็บสินทรัพย์ของผู้ใช้ (Non-Custodial Web3 Wallet) เช่น Best Wallet ซึ่งผสานความปลอดภัยของการถือครองด้วยตนเองเข้ากับความสะดวกสบายของแอปพลิเคชัน

ในปัจจุบัน Best Wallet มีผู้ใช้งานประจำรายเดือนกว่า 250,000 ราย และกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยม สำหรับผู้ที่ต้องการทำธุรกรรมอย่างราบรื่น พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยระดับแนวหน้า

คุณสมบัติการรักษาความปลอดภัยแบบหลายชั้นของ Best Wallet

Best Wallet ถูกออกแบบด้วยระบบความปลอดภัยหลายชั้น เพื่อปกป้องการใช้งานของผู้ใช้งานในทุกขั้นตอน โดยเริ่มจากสถาปัตยกรรมแบบ ไม่เก็บสินทรัพย์ของผู้ใช้ (Non-Custodial) ซึ่งผู้ใช้งานสามารถจัดการกุญแจส่วนตัว (Private Keys) ของตนเองได้อย่างอิสระ

นอกจากนี้ Best Wallet ยังยกระดับความปลอดภัยด้วยการผสานเทคโนโลยี MPC-CMP จาก Fireblocks ที่ช่วยแบ่งกุญแจส่วนตัวออกเป็นชิ้นส่วนย่อยที่ถูกเข้ารหัส และเก็บไว้ในหลายหน่วยงาน แยกจากกัน ซึ่งช่วยขจัดความเสี่ยงจากจุดล้มเหลวเพียงจุดเดียว (Single Point of Failure) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในระดับการเข้าถึงระบบ Best Wallet ใช้ได้ทั้งการยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication – 2FA) และการยืนยันด้วยข้อมูลชีวภาพ (Biometric Verification) เพื่อให้แน่ใจว่า เฉพาะผู้ใช้งานที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าสู่ระบบได้

หากผู้ใช้งานลืมข้อมูลการเข้าสู่ระบบ ระบบยังมีฟีเจอร์สำรองข้อมูลกระเป๋าเงินบนคลาวด์ส่วนตัว (Personal Cloud Backup) และระบบกู้คืนบัญชี ที่ใช้งานง่าย ซึ่งช่วยให้สามารถกู้คืนกระเป๋าเงินได้ โดยไม่ต้องใช้ Seed Phrase แบบเดิม ทำให้การกู้คืนกระเป๋าเงินเป็นเรื่องง่าย แม้ในกรณีที่อุปกรณ์สูญหาย

Best Wallet เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ Advanced Anti-Fraud Protection ซึ่งออกแบบมาเพื่อ ตรวจจับ และบล็อกกิจกรรมที่น่าสงสัย ก่อนที่ธุรกรรมจะถูกดำเนินการ ช่วยป้องกันผู้ใช้งานจากการถูกหลอกแบบฟิชชิง (Phishing), สคริปต์ดูดเงินจากกระเป๋า (Wallet-Draining Scripts) และพฤติกรรมอันตรายบนบล็อกเชนอื่น ๆ ในเร็ว ๆ นี้

ในระดับของการซื้อขายแต่ละครั้ง กระเป๋าเงินยังมีระบบ MEV Protection เพื่อช่วยป้องกันการโจมตีแบบ Front-Running และ Sandwich Attacks ซึ่งเป็นกลยุทธ์การเทรดไม่เป็นธรรมที่แทรกแซงลำดับธุรกรรมเพื่อเพิ่มต้นทุน หรือทำให้ผู้ใช้งานได้รับกำไรลดลง

การป้องกันหลายชั้นเหล่านี้ ทำให้ Best Wallet กลายเป็นหนึ่งในกระเป๋าเงิน Web3 ที่ปลอดภัยที่สุดในปัจจุบัน มอบความอุ่นใจในระดับเดียวกับการเก็บสินทรัพย์แบบออฟไลน์ (Cold Storage) โดยไม่ต้องแลกกับความสะดวกในการใช้งานหรือการเข้าถึง

ตัวอย่างเช่น Best Wallet มี กระดานเทรดแบบกระจายศูนย์ (DEX) ในตัว ซึ่งช่วยให้ผู้งาน ใช้สามารถซื้อขายได้โดยตรงภายในแอป โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มภายนอก ลดความเสี่ยงในการถูกโจมตี และยังคงมอบประสบการณ์การเทรดที่ราบรื่น และมีประสิทธิภาพสูง

การรับรองจาก WalletConnect ยืนยันความน่าเชื่อถือ และเทคโนโลยีของ Best Wallet

ด้วยการให้ความสำคัญกับความปลอดภัย และประสบการณ์ผู้ใช้งาน อย่างเต็มที่ จึงไม่น่าแปลกใจที่ Best Wallet ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ จาก WalletConnect ในปี 2025 

การรับรองนี้สงวนไว้สำหรับกระเป๋าเงิน ที่ผ่านมาตรฐานสูงสุดด้าน ความเข้ากันได้ และความปลอดภัยในระบบ Web3

การที่ได้รับการรับรอง WalletConnect หมายความว่า Best Wallet ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด ในด้านการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสื่อสารและเชื่อมต่อกับ แอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApps) หลายพันรายการบนเครือข่ายหลัก เช่น Ethereum, BNB Chain, Polygon และเครือข่ายอื่น ๆ ได้อย่างราบรื่น

ความสำเร็จนี้ ทำให้ Best Wallet ยืนอยู่เคียงข้าง กระเป๋าเงินที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง MetaMask และ Trust Wallet ทั้งในด้านความสามารถทางเทคนิค และการเข้าถึงระบบนิเวศของ Web3

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ Best Wallet แตกต่างคือ โทเคน BEST ซึ่งเปิดโอกาสให้นักลงทุนกลุ่มแรก มีส่วนร่วมโดยตรงในการเติบโตและพัฒนาโปรเจกต์

ในการระดมทุนช่วงเริ่มต้น นักลงทุนยังสามารถเข้าร่วม BEST ได้ในราคาที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับราคาที่คาดว่า จะเป็น เมื่อโทเค็นถูกลิสต์ในตลาดซื้อขายหลัก ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่มีความได้เปรียบทางกลยุทธ์ที่สุดในการเข้าร่วม

นอกจากโทเคนจะเป็นเครื่องมือให้นักลงทุนเข้าถึงโปรเจกต์ที่ Best Wallet กำลังพัฒนาในช่วงแรกแล้ว โทเคน BEST ยังทำหน้าที่เป็นสกุลเงินหลักของระบบนิเวศทั้งหมด

โทเคนนี้ขับเคลื่อนทุกการทำงานสำคัญภายในแอป ตั้งแต่การทำธุรกรรมต้นทุนต่ำ ไปจนถึงการปลดล็อกโอกาสในการ Staking, เครื่องมือการเทรดขั้นสูงที่กำลังจะเปิดตัว และฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น ระบบป้องกัน MEV และระบบป้องกันการฉ้อโกง (Anti-Fraud) ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้

หากกล่าวง่ายๆ คือ BEST มอบการเข้าถึงเต็มรูปแบบในระบบนิเวศ Best Wallet ซึ่งทุกฟีเจอร์ และฟังก์ชันการใช้งานเชื่อมโยงกันผ่านโทเคนนี้ และเมื่อแพลตฟอร์มเติบโตและผสานเข้ากับ dApps เพิ่มมากขึ้น ความต้องการและประโยชน์ใช้สอยของ BEST ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

หากผู้ที่สนใจต้องการถือครองโทเคน BEST ในช่วงอีกไม่กี่วันสุดท้าย สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ Best Wallet 

ติดตามข่าวสารและเชื่อมต่อกับชุมชน Best Wallet ได้ทาง X, Telegram, และ Discord

หากสนใจโปรเจกต์สามารถเข้าไปศึกษา Best Wallet เพิ่มเติม ได้แล้ว

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                  
เช็คลิสต์รายละเอียดสถานะ
1. เว็บไซต์ & Whitepaper โปรเจกต์มีเว็บไซต์ที่ดูน่าเชื่อถือ และมีเอกสาร Whitepaper ที่ระบุข้อมูลชัดเจนไม่กำกวม✔️
2. ความโปร่งใสของทีมงาน ทีมพัฒนามีการเปิดเผยตัวตนชัดเจนไม่ได้ปกปิดข้อมูลแต่อย่างใด
3. Tokenomics เหรียญมีการแจกแจงการปันส่วนที่สมเหตุผล และฝ่ายใดถือครองจนมากเกินไป⚠️ (ไม่ชัดเจน)
4.Smart Contract Smart contract มีความโปร่งใสและถูกตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการใส่โค้ดแอบแฝงเพื่อโจมตีนักลงทุน
5. มีกำหนดการชัดเจนโปรเจกต์มีการกำหนดวันสิ้นสุดการระดมทุนพรีเซล รวมถึงวันลิสต์เหรียญอย่างชัดเจน
6. ผู้ใช้สามารถถอนเงินได้กรณีเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดขึ้น นักลงทุนยังคงสามารถทำการถอนเงินคืนได้⚠️ (ไม่ชัดเจน)
7. คอมมูนิตี้ โปรเจกต์มีชุมชนคอยให้การสนับสนุนจริง ไม่ได้ถูกรันด้วยบอทเพียงอย่างเดียว ✔️
8. สภาพคล่อง โปรเจกต์มีการล็อกสภาพคล่องเพื่อระงับไม่ให้เกิดการ Rug pull ขึ้น
9. สัญญาณอันตราย โปรเจกต์ไม่มีสัญญาณอันตราย เช่น การระดมทุนจะสิ้นสุดเมื่อราคาถึงระดับ XXX เป็นต้น ✔️
อ่านรายละเอียดเช็คลิสต์เพิ่มเติมได้ที่นี่

บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโปรเจกต์คริปโตเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการแนะนำหรือเชิญชวนให้ลงทุนคริปโตเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ โปรดศึกษาข้อมูลให้รอบคอบและลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ท่านยอมรับได้ ทาง Siam Blockchain รวมถึงผู้บริหารและพนักงานของบริษัท ขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่รับผิดชอบในทุกกรณีหากเกิดความเสียหายจากการลงทุนของท่าน

บทความนี้เป็นบทความสปอนเซอร์