<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เผยเทคนิคปั้นพอร์ตของ “คุณเบียร์ วนนท์” พนักงานออฟฟิศที่คว้าเงิน 100 ล้านบาท จากการเทรด

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เชื่อว่านักเทรดและนักลงทุนหลายคนใฝ่ฝันจะมีอิสระทางการเงิน หลายคนอยากลาออกจากงานประจำมานอนรับเงิน passive income จากการลงทุน แต่น้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายนี้

ในอดีต คุณเบียร์ วนนท์ วรรณป้าน เคยเป็นเพียงแค่พนักงานออฟฟิศธรรมดา ไม่รู้จักหุ้น ใช้อินดิเคเตอร์ไม่เป็น ไม่มีหุ้นพลิกชีวิต เคยพอร์ตแตกจนไม่เหลืออะไรเลย และไม่มีจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเหมือนกับ The big short แต่เขากลับเป็นนักเทรดหุ้นสาย Fulltime Trader ที่สามารถปั้นพอร์ตให้เงินสองแสนกลายเป็นร้อยล้านได้สำเร็จ

ในบทความนี้ทางสยามบล็อกเชนจะพาทุกคนมาสำรวจเทคนิคของคุณเบียร์ เพื่อถอดรหัสความสำเร็จที่ทำให้พนักงานเงินเดือนกลายเป็นหนึ่งในเซียนหุ้นชื่อดังของไทย แล้วมาดูกันว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่ทำให้เขาสามารถคว้าเงินล้านได้จากตลาดหุ้น

พื้นฐานด้านการลงทุน

ในตอนแรกคุณเบียร์ไม่มีประสบการณ์ด้านการลงทุนมาก่อน เป็นเพียงพนักงานประจำธรรมดาทั่ว ๆ ไป คุณเบียร์เริ่มสนใจด้านการลงทุนในช่วงอายุประมาณ 28-29 ปี โดยมุ่งเน้นลงทุนในคอนโด กองทุนรวม และ ETF

อย่างไรก็ตาม คุณเบียร์กล่าวว่าในอดีตเคยเห็นคนใกล้ตัวเจ็บปวดจากการขาดทุนในตลาดหุ้นมาก่อน จึงพยายามไม่เข้าใกล้ตลาดหุ้น และรู้สึกตลาดหุ้นเป็นเรื่องไกลตัว ถึงขนาดไม่รู้ว่าหุ้นคืออะไร หรือหุ้นทำกำไรได้อย่างไร

จุดเริ่มต้นในตลาดหุ้น

คุณเบียร์เริ่มเข้ามาเป็นนักเทรดในตลาดหุ้นเมื่อช่วงต้นปี 2556 ผ่านการชักชวนของเพื่อนหัวหน้าที่ทำงานในฝ่ายมาร์เก็ตติ้ง โดยเขาคนนั้นได้ชักชวนคุณเบียร์ให้ลองฟังเทคนิคการเทรดหุ้นของคนที่ประสบความสำเร็จ จนทำให้คุณเบียร์คิดว่าการเทรดเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายกว่าที่คิด

เงินลงทุนก้อนแรกของคุณเบียร์คือเงินเดือน เงินที่ถอนออกมาจากกองทุน และเงินจากการขาย ETF รวมแล้วเป็นเงินก้อนประมาณ 300,000 – 500,000 บาท ทว่าเงินก้อนนี้กลับร่อยหรอลงอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่นาน

“เข้ามาเทรดเดือนแรกโดนไป 3 แสน พอเราเข้ามาปุ๊บ เราก็ทดลองฝึกซื้อ ฝึกขาย ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่จำเป็นต้องใช้เงินจริงก็ได้”

“เพราะเราใจร้อน เราไม่รู้ว่าแหล่งการเรียนรู้เราต้องไปหาที่ไหน เราจะต้องไปอ่านที่ไหน อย่างไร ถามใคร เพราะรอบตัวมันไม่มีใครเลย… เดือนหนึ่งก็โดนไป 3 แสน แล้วเล่นไปประมาณปีหนึ่งก็หมดตัว” คุณเบียร์กล่าว

คุณเบียร์ยืนยันว่าจุดนั้นคือจุดที่พอร์ตพังที่สุด เพราะถึงแม้เขาจะเป็นพนักงานประจำที่ได้เงินเดือนสูงเกือบแสนบาท แต่เขาก็เทรดไปเติมพอร์ตไป อีกทั้งยังเป็นนักเทรด “สายซิ่ง” ที่ซื้อหุ้นซิ่งจนหมดพอร์ต ทว่ากลับพลาดโอกาสขายตอนกำไร 1-2 ล้านเพราะคาดว่าอาจเห็นกำไรสูงกว่านั้น จนสุดท้ายเงินทุนทั้งหมดก็กลายเป็นศูนย์

“หมดพอร์ตเลย หมดแบบไม่เหลือเลย ประมาณต้นปี 2557”

ต่อมาในช่วงเดือน 7 ของปี 2557 คุณเบียร์เล่าว่าเขาตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อผันตัวมาเป็นนักเทรดแบบ full-time แต่คุณเบียร์ยืนยันว่าเขาลาออกมาในสภาพ “ร่อแร่” เพราะตอนนั้นเขายังมีความรู้ในด้านนี้ไม่มากพอ รวมทั้งเงินทุนยังเหลือน้อยเต็มที

เทคนิคสำคัญสู่เงินล้าน

ที่ผ่านมาคุณเบียร์ไม่เคยใช้บอทเทรดมาก่อน และอินดิเคเตอร์ที่ใช้เป็นก็มีเพียงแค่สองอย่างเท่านั้น คือ กราฟแท่งเทียน และ Volume ซึ่งคุณเบียร์ยืนยันชัดว่าเขาใช้ทั้งสองอย่างนี้มาตลอดจนถึงปัจจุบัน โดยให้เหตุผลว่า

“ตอนที่ผมเข้ามา เวลาโปรแกรมเซ็ตมาให้ มันก็จะมีเส้นค่าเฉลี่ย มี RSI มี bollinger band มันใส่มาเต็มไปหมด แล้วผมใช้ไม่เป็น เพราะฉะนั้นอะไรที่ผมใช้เป็น ผมก็จะฝึกใช้ไปเรื่อย ๆ”

“ในการเทรดเก็งระยะสั้น บางครั้ง RSI บอกว่าอยู่ในจุดที่ไม่ควรซื้อแล้ว แต่เม็ดเงินมันยังเข้า มันก็ใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นด้วยการตัดสินใจในระยะสั้น ในเวลาอันสั้น สิ่งที่ผมค่อย ๆ ลดเลย คือ ผมจะลดเครื่องมือที่เกิดความขัดแย้งในการตัดสินใจออกให้หมด”

“จะดูแค่แรงซื้อ-แรงขาย จะดูแค่ Volume ถ้าหุ้นจะขึ้นมันต้องมีแรงซื้อ ถ้าแรงซื้อน้อยแปลว่าขึ้นไม่จริง แต่ถ้าจู่ ๆ หุ้นแรงซื้อมากกว่าปกติ เอ้า มากกว่าปกติกี่ปี เช่นมากกว่าปกติ 2-3 ปี แล้ว Volume เริ่มเข้า ผมจะดูเม็ดเงิน เพราะ Volume ที่เข้าไปมันเหมือนเม็ดเงินที่มันเกิดการซื้อขาย”

โดยสรุปแล้ว เทคนิคสำคัญคือคุณเบียร์จะเน้นฝึกใช้อินดิเคเตอร์ที่คุ้นเคยให้ชำนาญ แทนที่จะใช้อินดิเคเตอร์มากมายหลายตัวให้ยุ่งยาก โดยคุณเบียร์ได้เน้นย้ำว่าถ้าเราจะใช้อินดิเคเตอร์ตัวไหน เราต้องสามารถตอบได้ทุกมิติว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะอะไร” เช่น Volume ลดลงเพราะอะไร Volume แตะจุดพีคเพราะอะไร แท่งเทียนเป็นแบบนี้ตีความอย่างไร ฯลฯ

นอกจากนี้ คุณเบียร์ยังแนะนำด้วยว่าให้พยายามเจาะรายละเอียดของสิ่งที่เราลงทุน “ให้ลึกมากที่สุดในหลากหลายมิติ” เช่น หุ้นเล็ก หุ้นกลาง หุ้นใหญ่ หุ้นงบออกดีหรือไม่ดี ลักษณะแพทเทิร์นราคาเป็นอย่างไร

จุดพลิกพอร์ต

สิ่งสำคัญคือคุณเบียร์ลาออกจากงานเพื่อมาเทรดหุ้นแบบเต็มเวลา ซึ่งหมายความว่าคุณเบียร์จะต้องจัดการภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่ค่าอาหาร ค่าเช่าห้อง และรายจ่ายอีกมากมาย ด้วยผลกำไรที่มาจากการเทรดเท่านั้น

คุณเบียร์มองว่ามีอยู่วิธีเดียวที่จะทำให้พอร์ตเล็กเติบโตเป็นพอร์ตใหญ่ได้ คือ “การเก็บเล็กผสมน้อย” ดังนั้นพอร์ตของคุณเบียร์จึงไม่ใช่พอร์ตหลักล้านที่มาจากการ All-in หุ้นเพียงตัวเดียว แล้วถือยาวเป็นปี ๆ อย่างที่นักลงทุนสาย VI มักจะทำกัน แต่คุณเบียร์จำเป็นต้องหาวิธีการเทรดเพื่อให้มีเงินมากพอสำหรับค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน

“ผมอยากจะถือหุ้นคุณภาพ แต่ด้วยองค์ประกอบชีวิต หรือปัจจัยอะไรทั้งหลายทั้งปวงก็แล้วแต่ มันสรรค์สร้างมาให้เรามีแค่นี้ ฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้คือห้าร้อย-พันหนึ่ง ทำอย่างไรก็ได้ให้รักษาห้าร้อย-พันหนึ่งไว้ให้ได้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้มากกว่าห้าร้อยบาท มันคือทักษะของการหาหุ้น และทักษะของการคัดกรองหุ้น”

“เพราะฉะนั้นจุดเปลี่ยนหรือจุดพลิกก็คือประสบการณ์เหล่านั้น มันจะทำให้เราเลือกหุ้นได้คมขึ้น เลือกหุ้นได้ชัดขึ้น จุดเปลี่ยนจากการเจอ big short ในตลาดจริง ๆ ผมไม่มีเลย มันเป็นการสะสมด้วยวิธีเดิม ๆ รูปแบบเดิม ๆ แต่แค่หน้าตัดมันใหญ่ขึ้น +10% ของ 2 แสน ก็ 2 หมื่น แต่ +10% ของพอร์ต 20 ล้าน ก็ 2 ล้าน”

ที่มา: Money Chat Thailand