มาสำรวจกันว่าทำไมการที่ราคา Ethereum พุ่งสูงกว่า 3,000 ดอลลาร์ ถึงเป็นการจุดชนวนเริ่มต้นของตลาด bull run
การถอน Ethereum ออกจาก Exchange
ตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาของ Ethereum (ETH) ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยราคาได้พุ่งทะลุแนวต้าน 1 แสนบาท (3,000 ดอลลาร์) เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 2022 ในขณะที่ตัวชี้วัด On-chain บางตัวบ่งชี้ว่าราคา Ethereum อาจพร้อมแล้วที่จะปรับตัวขึ้นต่อไป
ข้อมูลจาก CryptoQuant แสดงให้เห็นว่า กระแสเงินไหลออกของ Ethereum จากกระดานแลกเปลี่ยน (exchange netflow) มีแนวโน้มเป็นลบ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวเป็นแท่งสีแดงขนาดใหญ่ ซึ่งหมายความว่า มีการนำ Ethereum ออกจากกระดานแลกเปลี่ยนมากกว่านำเข้า
การนำ Ethereum ออกจากจากกระดานแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์ (Centralized Platforms) ไปเก็บรักษาไว้ด้วยตนเอง (Self-Custody Methods) ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกของตลาด bull run เนื่องจากมันสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นระยะยาวของนักลงทุนในการถือครองทรัพย์สินของพวกเขา นอกจากนี้ยังช่วยดูดซับแรงเทขายในระยะสั้นได้อีกด้วย
แนวโน้มดังกล่าวสามารถช่วยกระตุ้นนวัตกรรมในการให้บริการอื่นๆ ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถดูแลทรัพย์สินด้วยตนเอง และผู้คนสามารถเข้าถึงการใช้งานได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งสิ่งนี้อาจดึงดูดผู้ใช้งานใหม่และกระตุ้นให้นักลงทุนปัจจุบันเข้ามาลงทุน
การอัพเกรด Dencun ที่กำลังจะมีขึ้น
อีกปัจจัยหนึ่งที่บ่งชี้ว่าราคาของ Ethereum อาจพุ่งสูงขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้ นั้นก็คือการอัพเกรด Dencun ที่กำลังใกล้เข้ามา ในช่วงเดือนมีนาคม การอัพเกรดดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพ, ความสามารถในการปรับขนาด และความปลอดภัยของบล็อกเชน Ethereum ทำให้สามารถแข่งขันกับเครือข่ายคู่แข่ง เช่น Solana ได้ดียิ่งขึ้น
Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum อธิบายว่าการอัพเกรดนี้เป็นการพัฒนาที่สำคัญสำหรับผลงานของเขารวมไปถึง Layer-2 ที่เกี่ยวข้อง
การอัปเกรด Dencun ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุค “The Surge” ในแผนการดำเนินงาน ของ Ethereum ซึ่งเป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึ่มจาก Proof-of-Work สู่ Proof-of-Stake หรือที่เรียกว่า “The Merge”การรวม Verkle Trees บนบล็อคเชน Ethereum ก็เป็นที่คาดหวังอย่างมากเช่นกัน เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่า สิ่งนี้จะช่วยลดความต้องการของพื้นที่จัดเก็บข้อมูล, เพิ่มประสิทธิภาพให้กับ staking nodes และ ยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งาน
ความเป็นไปได้ที่ Ethereum ETF จะได้รับการอนุมัติ
Bitcoin กลายเป็นที่สนใจอีกครั้ง เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (SEC) อนุมัติกองทุน Spot Bitcoin ETF หลายกองทุน (รวมถึงของ BlackRock)
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ช่วยให้นักลงทุนทั่วไป สามารถเข้าถึง Bitcoin ผ่านบริษัทการเงินที่ได้รับการกำกับดูแล โดยไม่ต้องซื้อและถือมันด้วยตัวเอง แต่ในส่วนผู้ให้บริการกองทุน BTC ETF พวกเขาจำเป็นต้องซื้อ Bitcoin จำนวนหนึ่ง เพื่อสำรองมูลค่าหุ้นกองทุนที่เสนอขายให้นักลงทุน
การเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้ราคา Bitcoin พุ่งทะลุ 1.7 ล้านบาท ( 50,000 ดอลลาร์ ) ในสัปดาห์ต่อมาหลังจากการอนุมัติ แต่นี้เป็นเเค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อ BlackRock ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในการถือครอง Bitcoin ก็มีความตั้งใจที่จะถือครอง Bitcoin มากขึ้นไปอีก ทำให้เกิดกระแสฮือฮาในหมู่นักลงทุน Bitcoin นับตั้งแต่ BlackRock ได้เข้ามาสะสม Bitcoin ทำให้ราคาพุ่งสูงถึง 100 %
บางคนอาจโต้แย้งว่าปัจจุบัน Ethereum ราคายังอยู่ในโซนสะสมตัว มันยังมีพื้นที่ในการเก็บสะสมราคาได้อีกมาก ในทางกลับกัน การอนุมัติ Spot Ethereum ETF อาจเป็นแค่การ “ขายข่าว” แบบเดียวกับที่เห็นหลังจากการอนุมัติ Spot Bitcoin ETF
ซึ่ง BlackRock, Franklin Templeton, Grayscale และบริษัทอื่นๆ เป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของบริษัททางการเงินที่ยื่นขอเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดังกล่าว หากคุณสนใจที่จะศึกษาข้อมูลเรื่องนี้สามารถดูวิดีโอเฉพาะของได้ที่ด้านล่าง:
กระแส Bitcoin Halving
สุดท้ายนี้เราคงต้องไปโฟกัสที่ปรากฎการณ์ The Bitcoin halving ที่จะเกิดขึ้นช่วงเดือนเมษายนในปีนี้ ซึ่งกระแส the Bitcoin halving จะเกิดขึ้นทุกๆสี่ปี มันจะลดรางวัลตอบแทนของนักขุด Bitcoin ลงครึ่งหนึ่ง ช่วยลดอัตราการสร้าง Bitcoin ใหม่ และอาจจะทำให้ Bitcoin มีมูลค่ามากขึ้นตามปัจจัยทางด้านอุปสงค์และอุปทานตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์
ในอดีตหลังเกิดเหตุการณ์ halving ราคา Bitcoin มักจะพุ่งขึ้นสูงเสมอ ซึ่งผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว อาจช่วยให้ราคาของ Ethereum พุ่งขึ้นไปแตะจุดสูงที่สุดตลอดกาล คล้ายกับราคา Bitcoin ที่อาจพุ่งขึ้นแตะสูงสุดที่ 70,000 ดอลลาร์
ที่มา: cryptopotato