ตัวเลข PCE ของสหรัฐอเมริกาเป็นตัววัดอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ โดยจะเพิ่มขึ้น 2.9% ต่อปี และ 0.2% ต่อเดือน ซึ่งในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาค่า Core PCE เพิ่มขึ้น 0.1% ต่อเดือน ทำให้ Bitcoin เป็นที่สนใจมากขึ้น
ตลาดหุ้นฟิวเจอร์ของสหรัฐร่วงลงเล็กร้อยในช่วงเปิดตลาด ในขณะที่ราคาของ Bitcoin ยังคงทรงตัว โดยมีมูลค่าซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 41,200 ดอลลาร์ และฟื้นตัวขึ้นมาที่ระดับ 41,800 ดอลลาร์ในปัจจุบัน
ทำไมอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ถึงมีความสำคัญต่อ Bitcoin
ตัวเลข PCE ที่สูงกว่า 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ กำหนดเพื่อเปรียบเทียบอัตราเงินเฟ้อ โดยธนาคารกลางหรือ FED ได้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยไปถึง 5.25 – 5.5% ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 ซึ่งทำให้ราคาหุ้นหรือสินทรัพย์ต่าง ๆ ลดลงอย่างมากยกเว้นราคาของที่พักอาศัย
ผู้คนเริ่มขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเมื่อพวกเขาคิดว่านโยบายของ FED อาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และนักลงทุนจะเริ่มหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงมากขึ้น เช่น พันธบัตรรัฐบาล ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาล แต่เมื่อ FED เริ่มลดอัตราดอกเบี้ย ราคาของสินทรัพย์ เช่น Bitcoin ก็อาจจะสูงขึ้น
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ วางแผนที่จะประเทศแผนกู้ยืมในปี 2024 ในวันที่ 31 มกราคม 2024 โดยการกู้ยืมของรัฐบาลที่สูงขึ้นอาจเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลเต็มใจรับความเสี่ยงมากขึ้น และหนี้ที่มากขึ้นจะเพิ่มโอกาสในการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนบางคนหันมาสนใจ Bitcoin
ทำไมถึงผู้คนถึงลงทุนใน Bitcoin
การอนุมัติกองทุน Bitcoin ETF ล่าสุดทำให้ Bitcoin มีโอกาสที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น โดยกองทุน ETF ช่วยให้นักลงทุนได้รับความเสี่ยงโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงของราคา BTC โดยไม่จำเป็นต้องซื้อ Bitcoin โดยตรง
นาย Hector McNeil ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุน Gold ETF แห่งแรกกล่าวว่า กองทุน Bitcoin ETF จะทำให้ผู้คนเข้าถึงมันมากขึ้น มันช่วยขจัดความยุ่งยากในการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งช่วยให้คนลงทุนในสินทรัพย์มากขึ้น
“ETF มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วงให้ผู้คนเข้าถึงสินทรัพย์ที่ยากต่อการซื้อขาย กองทุน ETF ทำให้ใครก็สามารถเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นได้ การมีบริษัทจัดการสินทรัพย์อย่าง BlackRock, Invesco และ Fidelity เข้ามาจัดการนั้นคือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่มาก”
Source: BeInCrypto