ดูเหมือนว่าในตอนนี้เครือข่าย Bitcoin กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่อีกครั้ง หลังค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเฉลี่ยได้พุ่งขึ้นถึง 937.7% จาก 0.74 ไปสู่ 7.679 ดอลลาร์ต่อธุรกรรมในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุหลักมาจากความต้องการใช้เครือข่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม Bitcoin เฉลี่ยยังค่อนข้างคงที่ โดยอยู่ต่ำกว่า 2 ดอลลาร์ในวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งการที่ค่าธรรมเนียมต่ำทำให้การโอน Bitcoin มีต้นทุนที่ถูกลงสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป แต่ในทางกลับกันก็ส่งผลกระทบต่อรายได้ของนักขุด (Miner) ที่น้อยลง
เนื่องจากเครือข่าย Bitcoin มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมทุกครั้งในการโอน Bitcoin เพื่อจ่ายให้นักขุดในการตรวจสอบธุรกรรม อย่างไรก็ตาม ความต้องการใช้เครือข่ายที่เพิ่มขึ้นส่งผลโดยตรงต่อค่าธรรมเนียมที่จำเป็นต้องจ่ายในการส่งหรือรับ Bitcoin
โดยข้อมูลจาก Blockchain.com และ YCharts แสดงให้เห็นว่าค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม Bitcoin เพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 7.679 ดอลลาร์ในวันที่ 22 สิงหาคม สร้างความกดดันให้กับนักลงทุน ซึ่ง Mononaut นักพัฒนา Bitcoin ได้ออกมารายงานว่ามีผู้ใช้ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสูงถึง 0.5 BTC เพื่อรวมธุรกรรม 0.55 BTC
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก mempool ณ วันที่ 23 สิงหาคม ชี้ให้เห็นว่าค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม Bitcoin เฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 0.34 ดอลลาร์แล้ว
โดยรายงานล่าสุดจาก CryptoQuant ซึ่งบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลได้เปิดเผยว่าความต้องการ Bitcoin มีแนวโน้มการเติบโตที่ลดลงใน 30 วันที่ผ่านมา หลังมีการเติบโตติดลบที่ 25,000 BTC จาก 496,000 BTC ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยการชะลอตัวนี้สาเหตุหนึ่งมาจากจำนวนการซื้อขาย Bitcoin ในรูปแบบ spot ETFs ในสหรัฐฯ ที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม นักขุดยังมีทางออกอยู่บ้าง หลังบริษัทการลงทุน VanEck ออกมาชี้ว่านักขุด Bitcoin อาจสร้างรายได้เพิ่มเติมถึง 13.9 พันล้านดอลลาร์ต่อปี หากพวกเขาหันมาให้บริการพลังงานแก่ภาคส่วนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และการคำนวณประสิทธิภาพสูง (High-Performance Computing) ภายในปี 2027
ที่มา: Cointelegraph