<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

“สตาร์ทอัพคริปโต” เกือบ 80% ในปี 2022 ยังอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน : เจ้าไหนทำผลงานได้ดีที่สุด ?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

บริษัท VC ชื่อดังอย่าง Lattice Fund เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า สตาร์ทอัพคริปโตมากเกือบ 80% ที่สามารถระดมทุนได้ในช่วงปี 2022  ยังคงเดินหน้าต่อได้จนมาถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะต้องเผชิญกับมรสุมครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในตลาดคริปโตก็ตาม

ตามรายงานฉบับล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม นักวิเคราะห์จาก Lattice Fund พบว่า ในบรรดาสตาร์ทอัพคริปโตมากกว่า 1,200 แห่งที่สามารถระดมทุนรวมกันได้มากถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2022 มีมากถึง 76% ที่สามารถผลักดันผลิตภัณฑ์ของตนเข้าสู่เครือข่าย Mainnet ได้สำเร็จ ถึงแม้ว่า 18.5% ของบริษัทเหล่านั้นจะต้องปิดตัวลงหรือประกาศยุติกิจการไปแล้วก็ตาม

เกือบ 80% ของสตาร์ทอัพสามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์หลังจากการระดมทุนได้สำเร็จ ที่มา: Lattice Fund

Lattice รายงานว่า โปรเจกต์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในกลุ่มสตาร์ทอัพที่ระดมทุนได้ในปี 2022 คือ Eigenlayer ซึ่งเป็นโปรโตคอล Ethereum re-staking โดย Eigenlayer สามารถดำเนินกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดได้อย่างยอดเยี่ยม และส่งมอบผลิตภัณฑ์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ภายในปี 2023 อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในระดับนี้ถือเป็นกรณีที่หาได้ยากในกลุ่มสตาร์ทอัพคริปโตปี 2022

มีเพียง 1.5% ของสตาร์ทอัพเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถหาตลาดที่เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์ของตน หรือที่เรียกว่า “Product Market Fit” (PMF) และมีเพียง 12% ของโปรเจกต์ทั้งหมดที่สามารถระดมเงินทุนได้เพิ่มเติมในรอบถัด ๆ ไป

สำหรับกลุ่มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการลงทุน ได้แก่ โปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และการเงินแบบรวมศูนย์ (CeFi) โดยพบว่า 80% ของโปรเจกต์ CeFi และ 78% ของโปรเจกต์ด้านโครงสร้างพื้นฐานสามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์บนเครือข่ายหลักได้สำเร็จ

ในขณะที่กลุ่มเกมมิ่งและ Metaverse ซึ่งเคยถูกมองว่ามีศักยภาพและได้รับความสนใจมากกลับพบอัตราการล้มเหลวสูงที่สุดในทุกหมวดการลงทุน แสดงให้เห็นว่ากระแสนิยมในกลุ่มนี้เป็นแค่กระแสชั่วคราวมากกว่าความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม

Regan Bozman ผู้ร่วมก่อตั้ง Lattice กล่าวในโพสต์บนแพลตฟอร์ม X ว่า “การไล่ตามกระแสสามารถทำให้คุณพังได้” 

พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า “มีเงินกว่า 700 ล้านดอลลาร์ที่ถูกนำไปลงทุนในกลุ่มเกมมิ่งในรอบแรกเริ่มของการระดมทุน (Seed Round) แต่กลุ่ม Gaming และ Metaverse กลับมีอัตราการล้มเหลวสูงที่สุด และโอกาสที่จะดำเนินธุรกิจโดยไม่มีผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดเลยก็สูงมากเช่นกัน”

Ethereum ครองตำแหน่งผู้นำ! ส่วน Bitcoin โดดเด่นเรื่องความมั่นคงของโปรเจกต์

ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า Ethereum ยังคงเป็นระบบนิเวศ Layer-1 ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับโปรเจกต์ใหม่ ๆ ในขณะที่โปรเจกต์ที่สร้างบนเครือข่าย Bitcoin กลับแสดงความทนทานและความสามารถในการอยู่รอดได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับเครือข่ายอื่น ๆ

มีการลงทุนกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ในโปรเจกต์ที่พัฒนาบนเครือข่าย Ethereum ทั้งหมด 314 โปรเจกต์ โดย 18% ของโปรเจกต์เหล่านี้ประสบกับความล้มเหลวในระยะยาว

Ethereum ครองตลาดการระดมทุนรอบ Seed Rounds ที่มา: Lattice

 ในขณะที่โปรเจกต์ที่สร้างบนเครือข่าย Bitcoin จำนวน 18 ราย ยังคงดำเนินการได้ทั้งหมด 100% และมีการพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ในทางกลับกัน สถานการณ์ของ Solana มีความแตกต่างเล็กน้อย แม้ว่าจะมีการลงทุนกว่า 350 ล้านดอลลาร์ในโปรเจกต์ที่สร้างขึ้นบน Solana ซึ่งมีจำนวน 87 โปรเจกต์ แต่เนื่องจากปัจจัยภายนอกหลายประการ เช่น การล่มสลายของ FTX และการดิ่งลงของราคาเหรียญ SOL ทำให้ 26% ของโปรเจกต์ไม่สามารถอยู่รอดจนถึงปี 2024 

นอกจากนี้ โปรเจกต์ที่สร้างขึ้นบนเครือข่าย Solana และ Ethereum มีโอกาสในการระดมทุนรอบต่อ ๆ ไปใกล้เคียงกัน ในขณะที่โปรเจกต์ที่พัฒนาบนเครือข่าย Near, StarkNet และ Flow กลับไม่มีโปรเจกต์ใดสามารถระดมทุนเพิ่มเติมได้เลย

ความท้าทายที่รออยู่สำหรับ “สตาร์ทอัพรุ่นปี 2022”

แม้กลุ่มสตาร์ทอัพคริปโตรุ่นปี 2022 จะทำผลงานได้น่าประทับใจ แต่ทีมวิเคราะห์จาก Lattice ระบุว่า กลุ่มสตาร์ทอัพเหล่านี้ กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ท้าทายยิ่งกว่าบริษัทที่ระดมทุนได้ในปี 2021 เสียอีก

ตลาดที่ซบเซาและการเข้าร่วมของนักลงทุนรายย่อยที่ลดน้อยลง ทำให้สตาร์ทอัพต้องเผชิญกับความยากลำบากในการค้นหาตลาดที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ (Product Market Fit) นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของจำนวนสตาร์ทอัพในระยะเริ่มต้นและ “ตลาดเปิดตัวโทเค็นที่ตึงตัว” ทำให้หลายทีมต้องพบกับความลำบากในการนำโทเค็นเข้าสู่ตลาดและสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุน

ในรายงานของ Lattice ยังระบุเพิ่มเติมว่า “ปัญหาเหล่านี้ยิ่งซับซ้อนขึ้น เนื่องจากนักลงทุนได้ย้ายความสนใจไปสู่กลุ่มธุรกิจและระบบนิเวศที่กำลังมาแรงกว่า เช่น DePIN และ AI รวมถึงเครือข่ายใหม่ ๆ อย่าง Base และ Monad”

อย่างไรก็ตาม รายงานได้ทิ้งท้ายว่า “เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เราเห็นว่า ผลตอบแทนที่น่าประทับใจไม่ได้เกิดจากการวิ่งไล่ตามกระแสที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน แต่มันเกิดจากการตั้งคำถามว่า อะไรคือเทรนด์ที่จะมาแรงในอีก 1-2 ปีข้างหน้าต่างหาก”

ที่มา:cointelegraph